อาหารอันตราย
เราทุกคนต่างรู้ว่า การรับประทานอาหารที่ดีต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ปฏิบัติตาม ดังนั้นผลที่ตามมาก็คือ ร่างกายที่อ่อนแอและมีแต่โรคภัยไข้เจ็บ ไม่แข็งแรงสมบูรณ์พอที่จะต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ ได้ อีกทั้งอาหารการกินในยุคปัจจุบันนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นไปในทางที่ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะอาหารการกินในปัจจุบันนี้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ มากขึ้นจนน่ากลัว
คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยหน่อยกับการเลือกรับประทานอาหารของคุณ แต่นั่นมันก็ให้ผลดีกับคุณอย่างมากเลยทีเดียว เพราะคุณไม่ต้องมาเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายและทรมานอยู่กับโรคที่คุณไม่ปรารถนา แน่นอนว่าคุณอาจไม่ชอบสักเท่าไรที่เมนูอาหารที่บอกดังต่อไปนี้ เป็นเมนูอาหารที่แสนอันตรายและเป็นเมนูสุดโปรดของคุณแทบทั้งสิ้น T-T แต่ก็อย่าวิตกจนเกินไป…ใช่ว่าคุณจะรับประทานเมนูเสี่ยงอันตรายเหล่านั้นไม่ได้เสียเลย นาน ๆ ครั้งก็พอได้ แต่อย่าบ่อยก็แล้วกัน ^^
อาหารที่มีโทษต่อร่างกาย
- สเต๊ก คุณรู้หรือไม่ว่าการจะรับประทานสเต๊กได้อย่างปลอดภัยนั้นต้องนำมาทำให้สุกเสียก่อน แต่ความสุกของสเต๊กนั้นมีอยู่ 5 ระดับ ตรงนี้แหละคือประเด็นสำคัญ เพราะความร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่แฝงมากับเนื้อสัตว์ได้ และมีความปลอดภัยลดหลั่นกันไปในแต่ละระดับ อย่างระดับที่ 1 ซึ่งเราจะเรียกว่า แรร์ (rare) เป็นระดับที่ถือว่าเสี่ยงต่อสุขภาพมากที่สุด เมื่อรับประทานเข้าไปก็อาจจะก่อให้เกิดโรคพยาธิ และโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยและทางเดินอาหารได้ เพราะระบบการย่อยของร่างกายคนเราไม่สามารถที่จะย่อยอาหารดิบ ๆ ได้ง่าย ซึ่งกว่าร่างกายจะขับออกมาก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 2 วัน คิดดูแล้วกันว่าร่างกายคุณจะทำงานหนักแค่ไหน ส่วนระดับ 2 ที่เรียกว่า มีเดียมแรร์ (medium rare) ระดับนี้จะสุกขึ้นมาหน่อย และระดับ 3 ที่เรียกว่า มีเดียม (medium) ซึ่งเป็นระดับที่สุกมากยิ่งขึ้นแต่ก็ยังดิบอยู่ คุณก็ยังคงเสี่ยงกับพยาธิและเชื้อโรคอยู่ดี ส่วนในระดับ 4 หรือ มีเดียมเวลล์ (medium well) โดยรวมแล้วระดับนี้เนื้อจะเริ่มสุกเกือบทั้งหมด ความปลอดภัยจะมีมากขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเสี่ยงกับระดับเหล่านี้ แต่ควรหันมารับประทานในระดับ 5 หรือ เวลล์ดัน (well don) แทน เพราะในระดับนี้เนื้อจะสุกทุกส่วนแล้ว และถือว่าเป็นระดับที่ปลอดภัยต่อร่างกายมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี เพราะขึ้นชื่อว่าอาหารย่าง ยังไงมันก็ก่อให้เกิดโรคกับคุณได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นหากคุณอยากรับประทานสเต๊กก็ควรเลือกระดับที่ 5 และที่สำคัญไม่ควรรับประทานบ่อยมากนัก เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้
- ไส้กรอก ตามท้องตลาดจะมีไส้กรอกอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงส่วนผสมที่เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่รวมอยู่ด้วยหลายชนิด เช่น สารกันบูดที่มีไว้เพื่อยืดอายุของไส้กรอกให้นานยิ่งขึ้น, สารไนไตรท์ ที่ช่วยให้ไส้กรอกเหนียวนุ่ม หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ ก็จะเกิดการสะสมในร่างกายจนคุณเป็นโรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ และเนื้องอกในสมอง แต่ความอันตรายยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะอย่าลืมว่าไส้กรอกจะไม่สามารถขึ้นรูปเป็นแท่งยาวถ้าไม่มี “ถุงหลอด” แน่นอนว่าเจ้าถุงหลอดนี้คงต้องไม่ธรรมดาแน่ เพราะมันผลิตมาจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ซึ่งมีสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากมีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่มาก และเมื่อคุณนำไปย่างหรือปิ้งแล้วล่ะก็ จะทำให้เกิดสารพิษที่น่ากลัวที่เรียกว่า “อะคริลิไมด์” (Acrylimides) ซึ่งก็เป็นสารก่อมะเร็งเช่นกัน ดูสิ…แค่ไส้กรอกเมนูเดียว คุณก็ได้รับสารก่อมะเร็งมากมายแล้ว T-T
- แฮมเบอร์เกอร์ คุณรู้หรือไม่ว่า แฮมเบอร์เกอร์นั้นอุดมไปด้วยเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในระหว่างขบวนการทำ (รอเพื่อที่จะนำเนื้อแฮมเบอร์เกอร์เหล่านั้นมาปรุงแต่งรสชาติ) ทำให้เกิดการเน่าเสีย ผู้ผลิตบางรายจึงนิยมใช้สารเคมีบางชนิดเข้ามาช่วยในการกำจัดกลิ่นและสีที่จะเปลี่ยนไปของเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ ส่วนความอร่อยของแฮมเบอร์เกอร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อันตราย เพราะความอร่อยนั้นมาจาก “ผงชูรส” นั่นเอง โดยสารเคมีที่มีอยู่ในผงชูรสจะทำให้คุณวิงเวียนศีรษะ คอแห้ง เกิดอาการแพ้ และมันยังทำให้คุณอ้วนได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองก็เป็นบ่อเกิดของโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและอาจกลายเป็นโรคมะเร็งในเวลาต่อมาได้ ทางที่ดีคุณควรรับประทานมันให้น้อยลง หรือไม่รับประทานเลยก็จะยิ่งดีต่อร่างกายของคุณ
- เฟรนช์ฟรายส์ เมนูอุปสรรคความสวยของผู้หญิงอย่างแท้จริง ! ด้วยการทอดที่ต้องใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก มันจึงทำให้คุณอ้วนได้ไม่ยากนัก และการทอดมันฝรั่งนั้นจะต้องใช้ความร้อนสูง และเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงแล้ว สารเคมีที่ชื่อว่า “อะคริลิไมด์” ก็จะปรากกฏตัวออกมา ซึ่งเจ้าสารนี้มันเป็นสารก่อมะเร็ง อีกทั้งน้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำไปมาตลอดวัน จะทำให้เกิดการ “ออกซิไดส์” และทำให้เกิดสารปนเปื้อนในมันฝรั่งทอด และส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ทำให้ร่างกายได้รับสารก่อมะเร็งในที่สุด ถ้าอยากกินจริง ๆ คุณควรซื้อมันฝรั่งมาทอดเองที่บ้านด้วยน้ำมันใหม่ก็ดูจะปลอดภัยขึ้นมาหน่อย
- พิซซ่า อาหารที่ประกอบไปด้วยเนยหรือชีส หากรับประทานมาก ๆ ก็อาจทำให้อ้วนได้ง่าย ๆ แป้งที่นำมาใช้ทำก็เป็นแป้งขัดสีที่แทบจะไม่มีวิตามินและเกลือแร่หลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนขั้นตอนการอบพิซซ่าที่ต้องใช้ความร้อนสูงยังทำให้เกิดสารพิษ “อะคริลิไมด์” ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งการเพิ่มส่วนผสมต่าง ๆ ลงไปบนหน้าพิซซ่าไม่ว่าจะเป็นไส้กรอกหรือเบคอน รวมไปถึงไขมันต่าง ๆ ร่างกายก็ยิ่งพบกับความเสี่ยงต่อสุขภาพสูงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคอ้วน และโรคต่าง ๆ อีกมากมาย
- ไก่ทอด ทราบหรือไม่ว่า การรับประทานไก่ทอดแต่ละชิ้น คุณจะได้รับพลังงานจากมันมากถึง 340 แคลอรีเลยทีเดียว อีกทั้งยังได้รับไขมันที่เกินขนาดจากไก่ทอดและแป้งขนมปังกรอบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน และยังมีสารปนเปื้อนประเภทสารอะลูมิเนียมในไก่ทอด ที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อระบบการทำงานของสมองและระบบเมตาบอลิซึมในร่างกาย นอกจากนี้รสชาติที่กลมกล่อมก็อาจต้องแลกมาด้วยการปรุงรสด้วยผงชูรสที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อสะสมอยู่ในร่างกายมากขึ้นจนถึงระดับที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ คราวนี้ล่ะ…โรคต่าง ๆ ก็จะถามหาคุณแล้ว และแน่นอนโรคมะเร็งคือโรคแรกที่จะมาถามหาคุณ !
- เบคอน / แฮม เบคอนหรือความจริงแล้วก็คือ หมูสามชั้นติดมันที่ถูกสไลด์ให้เป็นแผ่นบางนั่นเอง แน่นอนว่ามันต้องอุดมไปด้วยไขมัน ไขมัน และไขมัน ! ที่คุณอาจมีสิทธิ์อ้วนได้แบบงง ๆ และคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก็อาจอุดตันจนก่อให้เกิดโรคหัวใจได้โดยที่คุณไม่ตั้งใจ แถมเบคอนยังมีส่วนผสมของดินประสิว ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็น “สารไรโตรซามีน” สารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย ส่วนแฮมก็ใช่ย่อย เพราะมีทั้งไขมัน สารกันบูด และสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็ง เช่นเดียวกับเบคอนและไส้กรอก
- กากหมู สิ่งที่คุณได้นอกจากความอร่อยมันก็คือ ไขมันล้วน ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะพวกมันจะเข้าไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูงจนอาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก โรคหลอดเลือดตีบตัน และนำไปสู่สาเหตุการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และหัวใจวายในที่สุด นอกจากนี้ร่างกายของคุณยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด ดูสิว่ามันน่ากลัวแค่ไหน !
- เนื้อวัว / เนื้อหมู / เนื้อไก่ / เนื้อปลา ความจริงแล้วมนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืชมาแต่ไหนแต่ไร ร่างกายจึงถูกออกแบบมาให้รองรับอาหารประเภทพืชผักผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์ แต่ใครจะสนใจ…ก็ในเมื่อเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานอยู่นั้นอร่อยกว่าเห็น ๆ นั่นแหละคือสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่ตามมามากมาย เนื้อสัตว์นั้นเป็นอาหารอันตรายที่เราอาจคาดไม่ถึง เพราะพวกมันเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมของมนุษย์และเซลล์มะเร็ง และมีสารพิษต่าง ๆ มากมายที่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย คุณรู้หรือไม่ว่าเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้มันมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายอยู่มากแค่ไหน อย่างแรกเลยก็คือ สารเร่งเนื้อแดง สาเหตุของโรคหัวใจ, ยาปฏิชีวนะประเภทคลอแรมแฟนิคอล (Chloramphenicon) และยาในกลุ่มไนโตรฟูแลม (Nitrofurams) ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นเองจากสัตว์ขณะที่พวกมันกำลังถูกฆ่า ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งด้วยเช่นกัน และเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ คนกลุ่มที่บริโภคเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวนั้นจะมีอายุสั้นมากจนน่าตกใจ อย่างชาวเอสกิโมที่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลักก็มีอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น !! ในทางกลับกันกลุ่มคนที่บริโภคแต่พืชผักผลไม้อย่างเดียว ล้วนมีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวราว 110 ปี !! คราวนี้คุณพอจะเห็นถึงความแตกต่างของการบริโภคขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง ?
- เนื้อบด / หมูบด / ไก่บด / เนื้อปลาขูด ในเนื้อบดสำเร็จรูปเหล่านี้จะมีสารบอแรกซ์เป็นส่วนผสมอยู่ เมื่อร่างกายได้รับสารบอแรกซ์สะสมมากเข้า อาการผิดปกติต่าง ๆ ก็จะแสดงออกมา ที่เห็นได้ชัดก็คือ คุณจะเบื่ออาหาร ร่างกายอ่อนเพลีย ผิวหนัง ตับ ไต และเยื่อตามีอาการอักเสบ หนังตาบวม น้ำหนักตัวลด และมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (มิน่าล่ะ…) และอาการของคุณจะหนักมากขึ้นถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรเสี่ยงกับความสะดวกสบายแบบสำเร็จรูปจะดีกว่า แต่ให้เปลี่ยนมาซื้อแบบเป็นชิ้น ๆ และนำมาสับเองก็ดูจะปลอดภัยกว่า แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยด้วย
- ลูกชิ้นเนื้อ / ลูกชิ้นหมู / ลูกชิ้นปลา ก็ทำนองเดียวกันกับเนื้อบดทั้งหลาย เพราะมีส่วนผสมของสารบอแรกซ์อยู่ด้วยนั่นเอง อย่างที่บอกไปถึงโทษที่รุนแรงของสารบอแรกซ์ พวกมันจะออกฤทธิ์ทำร้ายคุณอย่างช้า ๆ และเมื่อพลังทำลายของมันมีมากพอ คราวนี้ล่ะคุณเอ๋ย…ตัวใครตัวมันได้เลย ยิ่งถ้าได้รับเข้าไปในปริมาณมากเพียงครั้งเดียวก็อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที แต่ก็ใช่ว่าคุณจะรับประทานไม่ได้เลยในชาตินี้ เพราะยังมีร้านค้าอีกหลายร้านที่เห็นถึงความสำคัญของผู้บริโภค เขาจึงไม่ใส่สารบอแรกซ์ลงไป… นั่นแหละจึงการันตีว่าคุณจะรับประทานได้อย่างปลอดภัย
- ลาบดิบ / แหนบดิบ / ลู่ดิบ หลายคนมักเข้าใจเพียงแค่บีบน้ำมะนาวหรือเหล้าลงในเนื้อดิบ ๆ ก็จะช่วยฆ่าเชื้อโรคหรือฆ่าพยาธิให้ตายได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิด !! ดังนั้นสิ่งที่พวกเขารับประทานเข้าไปก็คืออาหารดิบที่เต็มไปด้วยพยาธิและเชื้อโรค ซึ่งเสี่ยงต่อระบบทางเดินอาหารอย่างมาก เพราะเหล่าพยาธิจะพากันไปวางไข่ในลำไส้ของคุณอย่างสบายใจเฉิบ ! และมันจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณได้นานถึง 24 ปี !! ปีนะไม่ใช่วัน อีกทั้งคุณยังได้รับโรคต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคท้องร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคแอนแทรกซ์ โรคอหิวาตกโรค โรคบิด โรคสเตรปโตคอกคัสซูอิส โรคเอ็นเทอริก โรคไทฟอยด์ โรคตับอักเสบชนิดเอ โรคหูหนวก ตาบอด และคุณจะเสียชีวิตในที่สุด หากร่างกายของคุณได้รับพยาธิทั้ง 3 ชนิดนี้เข้าไป ได้แก่ พยาธิตัวกลม (ทริคิโนซีส), พยาธิตัวตืด และพยาธิใบไม้ เพราะพวกมันจะชอนไชเข้าสู่กระแสเลือด ไชไปจนถึงสมองทำให้สมองอักเสบ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ชักกระตุก และหมดสติ ไชเข้าลำไส้เข้าไปแย่งดูดซึมอาหารจนทำให้คุณขาดสารอาหาร อาเจียน คลื่นไส้ ปวดท้องรุนแรง ถ่ายเหลว และซูบผอม ยิ่งถ้าพวกมันแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นจะยิ่งทำให้ลำไส้ของคุณอุดตัน และถ้าไชเข้าปอดเมื่อไหร่ ปอดก็จะอักเสบ และเสียชีวิตได้ในที่สุด
- อาหารทอด / ปิ้ง / ย่าง การทอด ปิ้ง หรือย่างอาหารที่ใช้ความร้อนสูงจะทำให้เกิด “สารอะคริลาไมด์” ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งช่องปาก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งอัณฑะ มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารอันตรายที่เกิดจากการทอด ปิ้ง หรือย่างอีกหลายชนิดด้วยกัน เช่น สารไนโตรซามีน ที่มักจะแฝงตัวอยู่ในปลาหมึกย่างและปลาทะเลย่าง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร, สารกลุ่มพัยโรลัยเซต เป็นสารที่เกิดจากการใช้ความร้อนสูง พวกมันจะอยู่ในส่วนที่เป็นสีดำที่ไหม้เกรียมของอาหาร สารตัวนี้มีอันตรายอย่างมากต่อ DNA ในร่างกาย เพราะมันจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งที่น่ากลัวนั่นเอง, สารกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน สารชนิดนี้จะแฝงตัวอยู่ในเขม่าควันไฟต่าง ๆ เป็นสารพิษที่มีความอันตรายมากกว่าสารพิษอื่น ๆ ที่กล่าวมา เพราะพวกมันเป็นสารเริ่มต้นของสารก่อมะเร็ง คุณอาจจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดหากสูดดมเข้าไปนาน ๆ และถ้าควันนั้นสัมผัสโดนผิวหนังคุณบ่อย ๆ คุณอาจมีสิทธิ์เป็นมะเร็งผิวหนังได้โดยไม่รู้ตัว
- อาหารกึ่งสำเร็จรูป คุณอาจจะตกใจถ้ารู้ว่ามีอะไรแฝงตัวอยู่ในอาหารสำเร็จรูปที่คุณรับประทาน มาทำความรู้จักกับมันสักหน่อยดีกว่า นั่นก็คือ แบคทีเรีย ยีสต์ รา และหนอนพยาธิ ถ้าคุณชอบหมูยอ กุนเชียง ปลาป่น และปลากระป๋องแล้วล่ะก็ คุณได้พบกับพวกมันแน่ ๆ ร่างกายของคุณก็จะเกิดการเจ็บป่วยในระบบทางเดินอาหาร นอกจากเชื้อจุลินทรีย์แล้ว สารเคมีต่าง ๆ ก็มีอยู่ในอาหารกึ่งสำเร็จรูปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีที่ใช้ในการปรุงแต่งสี รสชาติ กลิ่น และสารเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหาร ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งสิ้น เพราะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายผิดปกติ
- บะหมี่สำเร็จรูป แท้จริงแล้วมีคุณค่าทางอาหารต่ำมากและยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอีกด้วย เพราะมีสารพิษที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเจือปนอยู่ในนั้น สารอาหารที่ได้รับแน่ ๆ เลยคือ แป้ง ซึ่งทำให้คุณอ้วนได้ น้ำมันเจียวที่เป็นเครื่องปรุงก็อันตราย เพราะเป็นน้ำมันสัตว์ เครื่องปรุงรสก็มีผงชูรสเป็นส่วนประกอบจำนวนมาก แล้วแบบนี้คุณยังจะรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารหลักอยู่อีกหรือ แต่ถ้าคุณไม่สามารถเลิกรับประทานได้ล่ะก็ ขอแนะนำให้รับประทานมันนาน ๆ ครั้ง อาจจะเป็นอาทิตย์ละครั้ง หรือเดือนละครั้งสองครั้ง ก็ยังปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า
- อาหารใส่กล่องโฟม จากผลการวิจัยพบว่า กล่องโฟมมีสารพิษชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “สารสไตรีน” ซึ่งสารพิษชนิดนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก เพราะมันทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ โดยสารนี้จะเกิดขึ้นเมื่อกล่องโฟมโดนความร้อนสูงจนทำให้มันละลาย และความร้อนที่ว่านั้นก็มาจากอาหารที่ใส่ลงไปในกล่องโฟม ยิ่งถ้าเป็นอาหารประเภททอดก็ยิ่งอันตรายไปใหญ่ แม้ในกรณีที่กล่องโฟมไม่ละลาย พวกมันก็สามารถปล่อยสารพิษสไตรีนออกมาได้เช่นกัน โดยมาจากอาหารที่มีความร้อนและถูกบรรจุในกล่องโฟมเป็นเวลานาน ๆ นั่นเอง
- อาหารทะเลสด ผักสด และถั่วงอกที่มีสารฟอร์มาลิน จากการวิจัยพบว่า อาหารที่ดูสดสะอาดและพืชผักที่มีสีสันสดใสนั้นมักจะมีสารพิษปนเปื้อนอยู่ นั่นก็คือ “สารฟอร์มาลิน” หรือสารที่ใช้ดองศพนั่นแหละ T-T ใครก็ตามที่รับประทานอาหารที่มีฟอร์มาลินเข้าไปสะสมในร่างกายระดับหนึ่ง จะทำให้ระบบการทำงานของตับ ไต และหัวใจผิดปกติ การทำงานของสมองแย่ลง สมองเสื่อมเร็ว และอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีอาการปวดแสบตามผิวหนัง และถ้าร่างกายได้รับสารชนิดนี้เข้าไปในปริมาณมาก และโดยตรง เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจะหยุดทำงานทันที เซลล์จะค่อย ๆ ตาย จากนั้นจะเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากเสี่ยงกับสารฟอร์มาลินที่มากับพืชผักผลไม้ เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเลแล้วล่ะก็ คุณควรนำวิธีง่าย ๆ เหล่านี้ไปใช้ นั่นก็คือ คุณควรสังเกตก่อนว่าสีสันของอาหารที่คุณจะซื้อนั้นมีสีสันสดใหม่อยู่ตลอดเวลาไม่ยอมแห้งเหี่ยวหรือไม่ มีสีสันเข้มกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ ถ้าดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาหารเหล่านั้นผ่านการแช่ฟอร์มาลินมาแล้วเรียบร้อย นอกจากนี้คุณควรดมกลิ่นก่อนที่จะซื้อว่ามันมีกลิ่นฉุนแสบจมูกหรือไม่ ถ้าดมแล้วไม่มีก็เป็นใช้ได้ และเพื่อความมั่นใจคุณควรนำไปล้างทำความสะอาดก่อนนำมาปรุงอาหาร
- อาหารหมักดอง อาหารประเภทนี้จะใช้เกลือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหมักดอง จึงทำให้อาหารหมักดองมีโซเดียมสูง และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากรับประทานเข้าไปเป็นประจำ โซเดียมจะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายของคุณ จนทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ระบบปัสสาวะได้รับผลกระทบที่ไม่ดี แล้วคุณจะมีอาการตัวบวม และที่เป็นอันตรายที่สุดอาจเป็นโรคใหลตาย ซึ่งสาเหตุของโรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายขาดสารเคมีที่จะไปทำลายสารไทรามีนที่มีอยู่ในลำไส้และกระแสเลือด ซึ่งสารนี้จะได้รับจากอาหารหมักดอง ทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดคล้ายกับภาวะโรคหัวใจ ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายขาดความสมดุล ส่งผลให้หัวใจหยุดเต้นไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ยังไม่หมดแค่นั้น เชื้อแบคทีเรียที่เกิดจากการหมักดองยังทำให้คุณเป็นโรคกระเพาะอาหารและกลายเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในที่สุด น่ากลัวมั้ยล่ะ !
- กะหล่ำปลีดิบ / ถั่วงอกดิบ จากการสำรวจพบว่า กะหล่ำปลีดิบนั้นมีสารพิษปนเปื้อนชื่อว่า กอยโตรเจน (Goitrogen) ซึ่งเป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อต่อมไทรอยด์อย่างมาก เพราะมันจะไปยับยั้งการจับไอโอดีนของต่อมไทรอยด์ ส่งผลให้เป็นโรคคอหอยพอก ส่วนถั่วงอกดิบนั้นจะมีสารพิษตามธรรมชาติที่ชื่อว่า “ไฟเตต” ซึ่งมันจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุอาหารในร่างกาย จนทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม และเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา เพราะฉะนั้นถ้าอยากรับประทานอย่างปลอดภัยล่ะก็ คุณควรนำมาต้มให้สุกเสียก่อน แค่นี้คุณก็สามารถรับประทานได้อย่างสบายใจแล้ว
- หน่อไม้ดอง / ถั่วงอก / ขิงหั่นฝอย / น้ำตาลมะพร้าว สีขาวดูสะอาดจากอาหารเหล่านี้ที่คุณเห็นมันไม่ได้สะอาดอย่างที่ตาคุณบอกหรอก แต่มันมีอันตรายมากกว่าที่คุณคิด เพราะสีขาวนั้นอาจเกิดจากการใช้สารฟอกขาว หากบริโภคสารนี้เข้าไปในร่างกายจะทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติ นั่นก็คือ เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ถ่ายเป็นเลือด ปวดหลัง แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออกตามลำดับ ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว ช็อก หมดสติ ไตวาย และเสียชีวิตได้ในที่สุดหากร่างกายได้รับสารฟอกขาวในปริมาณมากกว่า 30 กรัม ทางที่ดีคุณควรงดรับประทานหรือหากเลิกไม่ได้คุณอาจเลือกหาร้านที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด โดยดูจากสีของอาหารที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดนั่นเอง
- น้ำส้มพริกดอง ปัญหามันอยู่ที่ว่าน้ำส้มพริกดองที่เติมลงไปในอาหาร มันอาจจะเป็นน้ำส้มสายชูปลอม !! และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อวัยวะภายในของคุณอาจต้องพบกับอันตรายแล้วล่ะ โดยเฉพาะกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะสารเคมีที่มีอยู่ในน้ำส้มสายชูปลอมนั้นมีความเป็นกรดสูงมาก แล้วแบบนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า น้ำส้มสายชูที่รับประทานอยู่เป็นของแท้หรือของปลอม แต่คุณสามารถสังเกตได้ โดยดูจากสีของพริกดองที่อยู่ในน้ำส้มสายชูว่ามันมีสีสดหรือสีซีดเน่าเปื่อย ถ้าสดก็แสดงว่าน้ำส้มสายชูแท้ แต่ถ้าดูเน่าเปื่อยสีซีดแสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูปลอม และที่สำคัญไม่ว่าจะแท้หรือปลอมมันก็ควรจะถูกใส่ในภาชนะที่เป็นแก้วมากกว่าที่จะเป็นพลาสติก เพราะน้ำส้มสายชูจะกัดกร่อนพลาสติกจนทำให้สารเคมีสังเคราะห์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพลาสติกปนเปื้อนในน้ำส้มสายชูได้
- อาหารหวานจัดและเค็มจัด เมื่อร่างกายใช้พลังงานจากความหวานของน้ำตาลไม่หมด ร่างกายก็จะเก็บสะสมความหวานในรูปแบบของไขมัน และนี่แหละคือสาเหตุของโรคอ้วนและโรคมะเร็ง โทษของรสหวานจัดนั้นก็มีมากจนนับไม่ถ้วน มีตั้งแต่โรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงโรคน่ากลัวอย่างโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคฟันผุ โรคไขมันในเลือดสูง มีอาการปวดท้อง และท้องอืด อันเนื่องมาจากการหมักหมมของน้ำตาล จนทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในทางเดินอาหารผลิตกรดและแก๊สขึ้นมา ส่วนอาหารที่มีรสเค็มจัดนั้นส่วนใหญ่จะมาจากการเติมน้ำปลาและเกลือลงไป ยิ่งผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารรสชาติเค็มจัด ก็จะส่งผลกระทบกับร่างกายอย่างมาก เพราะทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและเสี่ยงต่อโรคไต
- อาหารเผ็ดจัด แม้ความเผ็ดจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในการช่วยให้เจริญอาหารและช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน และป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ก็จริง แต่อย่างที่บอกอะไรที่มันมากเกินความพอดีมันย่อมไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อร่างกาย เพราะการรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดมากอาจทำให้ช่องปากของคุณแสบร้อนและก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร และทำให้กระเพาะอาหารเป็นแผล ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและขาดสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย ระบบขับถ่ายทำงานไม่ค่อยดี อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย เนื่องจากสารบางอย่างในพริกนั้นไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบรีดตัว เพราะฉะนั้นควรเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีรสชาติใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุดจะดีต่อสุขภาพมากกว่า
- ผงชูรส ความร้ายกาจที่คุณอาจคาดไม่ถึง ในผงชูรสนั้นจะมีส่วนประกอบที่เรียกว่า “โมโนโซเดียมกลูตาเมต” หากมันผสมอยู่ในร่างกายของคุณนาน ๆ มันจะแผลงฤทธิ์จนทำให้คุณต้องตกใจ เพราะมันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ และโรคไตวาย ยิ่งถ้าเป็นผงชูรสปลอมด้วยแล้ว ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะผงชูรสปลอมนั้นจะใส่สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก นั่นก็คือ สารโซเดียมเมตาฟอสเฟต และสารบอแรกซ์ ซึ่งสารเหล่านี้หากเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายมาก ๆ เข้า อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ และใช่ว่าผงชูรสจะใช้เป็นเครื่องปรุงรสเฉพาะอาหารเท่านั้น แต่พวกมันยังถูกนำไปใส่ขนมขบเคี้ยวของเด็ก ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติอีกด้วย ดังนั้นการเลิกรับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรสก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
- เนยเทียม แม้เนยเทียมจะทำมาจากไขมันพืชก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ทำให้คุณอ้วนได้ และมันก็ไม่ได้ช่วยให้ไขมันในเลือดลดลงอย่างที่เชื่อกันอีกด้วย เนื่องจากเนยเทียมนั้นมีกรดไขมันผิดปกติที่เรียกว่า “กรดไขมันทรานส์” ซึ่งเกิดจากการเติมไฮโดรเจนระหว่างขบวนการผลิตเพื่อทำให้จับกันเป็นก้อนได้ กรดไขมันทรานส์นั้นมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เนื่องจากมีคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีต่อร่างกาย และส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ดังนั้นคุณควรเปลี่ยนมารับประทานไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายประเภทอื่นแทนจะดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ได้จากน้ำมันมะกอก หรือไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนที่ได้จากน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น
- น้ำสลัดไขมันต่ำ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า มันจะดีต่อสุขภาพของคุณจริง ๆ เพราะอย่างที่บอกไป อาหารชนิดใดก็ตามที่ปราศจากน้ำตาล พวกเขาจะใส่สารเพิ่มความหวานเข้าไปทดแทน และนั่นแหละคือปัญหาใหญ่ต่อสุขภาพของคุณ เช่นเดียวกับน้ำสลัดไขมันต่ำที่คนรักสุขภาพโปรดปรานนั้นมันไม่ได้ทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้นเลย หนำซ้ำยังอาจทำให้คุณอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย สาเหตุก็คือ ทางด้านโภชนาการนั้น ไขมันเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ในการดูดซึมวิตามินในร่างกาย เมื่อคุณรับประทานน้ำสลัดที่มีไขมันกับผักสลัด ไขมันจะเป็นตัวช่วยดูดซึมวิตามินที่ได้จากผักเข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี และแน่นอนมันไม่ทำให้อ้วน แถมยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย ตรงข้ามกับน้ำสลัดไขมันต่ำที่ไม่มีไขมันไว้ช่วยดูดซึมวิตามิน อีกทั้งร่างกายของคุณยังได้รับน้ำตาลหรือสารให้ความหวานเพิ่มมากขึ้นจากน้ำสลัดไขมันต่ำ แทนที่คุณจะสุขภาพดี แต่กลับอ้วนขึ้นแบบงง ๆ และยังมีสิทธิ์เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย แนะนำว่ากลับมารับประทานน้ำสลัดแบบธรรมดา ๆ นี่แหละดีที่สุด แต่ก็ไม่ควรใช้น้ำสลัดมากเกินไป ราดแต่น้อยพอ เพราะแน่นอนว่ามันมีไขมันและมันอาจทำให้คุณอ้วนได้เช่นกัน
- น้ำตาลเทียม แม้จะใช้แทนความหวานของน้ำตาลได้ก็จริง แต่มันไม่ได้หมายว่ามันจะไม่ทำให้คุณอ้วนหรือปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่าน้ำตาล แต่น้ำตาลเทียมนี้แหละตัวก่อโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเลยนะ จากการศึกษาวิจัยยังพบว่า แม้น้ำตาลเทียมจะให้พลังงานน้อยก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้น้ำหนักของคุณลดลง ตรงกันข้ามมันกลับทำให้คุณน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย เนื่องจากน้ำตาลเทียมจะทำให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานช้าลง และทำให้คุณอ้วนขึ้นโดยไม่รู้ตัวไงล่ะ !
- น้ำตาลทรายขาว การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายขาวมากเกินไปและติดติดต่อกันเป็นเวลานาน ผิวหน้าจะมีรูขุมขนกว้าง เพราะมันเป็นบ่อเกิดของการเกิดสิว และสภาพผิวอื่น ๆ ด้วยที่จะตามมาติด ๆ คือ ตับอ่อนของคุณจะทำงานหนักจนโรคเบาหวานถามหา แถมคุณยังต้องเจอกับโรคกระดูกผุ ที่มีสาเหตุมาจากร่างกายของคุณต้องใช้แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินบีรวมจำนวนมากมาช่วยในการย่อยน้ำตาล ยิ่งถ้าน้ำตาลมีมากจนร่างกายดึงไปใช้ไม่หมด คราวนี้ล่ะคุณต้องเจอกับโรคอ้วนตามมาอีก เพราะน้ำตาลที่เหลือจะเปลี่ยนมันให้อยู่ในรูปไขมันและเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนและมีไขมันในเลือดสูงเป็นของแถม ดังนั้น น้ำตาลไม่ขัดสี จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาสุขภาพของคุณได้ ทำนองเดียวกันกับข้าวไม่ขัดสี แต่ถ้าคุณจะลดความหวานของน้ำตาลลงบ้าง และหันไปรับความหวานจากธรรมชาติ อย่างความหวานจากน้ำผึ้งหรือผลไม้ สุขภาพของคุณก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน !
- ข้าวขัดขาว น่าเสียดายที่ส่วนที่มีประโยชน์ของข้าวอย่างจมูกข้าวนั้นถูกกำจัดออกไปในระหว่างขบวนการขัดสีข้าว ฉะนั้นสิ่งที่อยู่ในเม็ดข้าวที่คุณจะได้รับก็มีแต่แป้ง ! เมื่อประโยชน์หมดไปและสิ่งที่มีเหลืออยู่นั้นคือโทษ ร่างกายของคุณจะเสียสมดุล เพราะไม่มีสารอาหารสำคัญมาคอยปกป้องร่างกาย คุณจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ แน่นอนที่สุดถ้าคุณไม่อยากเป็นโรคดังกล่าวคุณควรจะเปลี่ยนมารับประทานข้าวไม่ขัดสีหรือข้าวกล้องแทน
- แป้งขัดขาว อย่างแป้งข้าวโพด แป้งสาลี แป้งข้าวเจ้า หรือแป้งข้าวเหนียว ความจริงก็ไม่ต่างอะไรจากข้าวขัดขาวเท่าไร ในด้านคุณค่าทางอาหาร เพราะแป้งขัดขาวนั้นเป็นแป้งที่มีแต่คาร์โบไฮเดรต ! ไม่มีสารอาหารอื่น ๆ เหลืออยู่แล้ว เมื่อนำมาใช้ทำอาหารจะทำให้ร่างกายของคุณขาดสมดุลที่ดีในการดูดซึมวิตามินมาใช้ คุณจึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น เนื่องจากแป้งขัดขาวจะแปลงสภาพเป็นน้ำตาลกลูโคสได้เร็วมาก เมื่อร่างกายได้รับมากเกินไป ปัญหาย่อมเกิดขึ้นมาแน่ ๆ นอกจากโรคเบาหวานที่คุณจะได้รับแล้ว คุณยังมีโรคอีกโรคหนึ่งที่รออยู่ นั่นก็คือ โรคมะเร็งตับอ่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ตับอ่อนทำงานมากเกินไป อีกทั้งการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมนี้เข้าไปนาน ๆ สมองของคุณจะมีอาการมึนงง จนคุณกลายเป็นคนสมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย ถ้าในเด็กก็จะซุกซนผิดปกติ และมีอาการง่วงเหงาซึมเซาตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากร่างกายขาดวิตามินบีนั่นเอง
- มันฝรั่งแผ่นทอด / ขนมปังบิสกิต ทั้งสองอย่างนี้พวกมันมีสารพิษที่เรียกว่า “สารอะคริลิไมด์” ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและยังเข้าไปทำลายระบบประสาทอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีไขมันอิ่มตัวและเกลือโซเดียมเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง อย่างโซเดียมจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบรับประทานมันฝรั่งแผ่นทอดและขนมปังบิสกิตก็มักจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเม็ดสีผิวทำงานผิดปกติ กลายเป็นคนที่มีจุดด่างดำที่ผิวมากมาย
- ป๊อปคอร์น (ข้าวโพดคั่ว) ความจริงก็คือป๊อปคอร์นไม่ได้ให้คุณค่าทางด้านอาหารใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แถมยังให้โทษกับร่างกายอีกด้วย เพราะเกลือที่เป็นส่วนผสมจะทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ผงชูรสที่ผสมจะทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แถมยังมีแป้งและเนยที่จะทำให้คุณอ้วนได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อคุณอ้วนแล้ว โรคเบาหวาน และโรคหัวใจขาดเลือดก็จะตามมาติด ๆ จนทำให้คุณกลายเป็นอัมพาต และที่ร้ายกว่านั้นก็ คือโรคมะเร็งที่จะมาเยือนคุณอีกด้วย
- ข้าวเกรียบกุ้ง / ข้าวเกรียบปลา / ข้าวเกรียบปลาหมึก ใช่ว่าข้าวเกรียบชนิดต่าง ๆ จะมีแต่แป้งเท่านั้น แต่มันยังมี ไขมัน โปรตีน น้ำตาล ผงชูรส เกลือโซเดียม และสารตะกั่ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในข้าวเกรียบก็คือ “เกลือโซเดียม” ซึ่งหากเกลือโซเดียมตกค้างอยู่ในร่างกายมากจนเกินไป จะทำให้สมองคุณได้รับอันตราย เพราะมันจะทำให้เส้นเลือดสมองโป่งพองได้ อีกทั้งโรคหัวใจ โรคฟันผุ และอีกสารพัดก็จะตามมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว อีกทั้งมันยังทำให้ไตของคุณมีปัญหา ส่งผลให้ไตชำรุดเสียหาย ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคุณควรงดรับประทานข้าวเกรียบหรือรับประทานให้น้อยลงจะดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีปัญหาเรื่องไตหรือคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ยิ่งไม่ควรรับประทาน
- ขนมขบเคี้ยว ส่วนใหญ่แล้วขนมประเภทนี้จะให้พลังงานและไขมันจำนวนมาก อีกทั้งส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพก็มีอยู่มากด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแป้ง เกลือ ผงชูรส น้ำมัน น้ำตาล และเนย เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารใด ๆ ร่างกายก็จะไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร โดยเฉพาะในเด็กที่ชอบรับประทานขนมขบเคี้ยวเป็นประจำ เมื่อรับประทานเข้าไปมาก ๆ พวกเขาก็จะเบื่ออาหารจนกลายเป็นเด็กขาดสารอาหาร บางรายกลายเป็นเด็กอ้วน เป็นโรคฟันผุ เพราะได้รับแป้งและน้ำตาลมากจนเกินไป และยังมีเกลือที่จะเข้าไปทำอันตรายต่อระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย และหากรับประทานขนมขบเคี้ยวมากกว่าวันละ 2-3 ถุง ระบบการทำงานของตับและไตจะผิดปกติ และเกิดโรคมะเร็งในตับและไตได้
- คุกกี้ ในคุกกี้นั้นจะมีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาลอยู่สูงมาก นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่น ๆ อีก เช่น ช็อกโกแลต และผลไม้แห้งต่าง ๆ แต่นั่นมันแค่ส่วนน้อย เมื่อเทียบกับปริมาณไขมัน แป้ง และน้ำตาลที่อยู่ในคุกกี้ ดังนั้นการรับประทานคุกกี้เป็นขนมยามว่างจึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะคุกกี้จะเพิ่มความอยากน้ำตาลของคุณให้เพิ่มสูงขึ้น !! ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบการทำงานของตับอ่อน ทำให้คุณกลายเป็นโรคอ้วน และปริมาณน้ำตาลที่สูงยังทำให้ใบหน้าของคุณมีริ้วรอยก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น และยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจอีกด้วย
- ธัญพืชชนิดแท่ง เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ว่า ทำไมธัญพืชชนิดแท่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าจะสามารถทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนได้ ? เพราะนอกจากมันจะทำมาจากข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี และสารพัดธัญพืชที่ไม่ขัดสีแล้ว ส่วนผสมอื่น ๆ ของมันก็ยังมีน้ำตาล น้ำผึ้ง หรือฟรุกโทส นี่ไงล่ะคือสาเหตุของความอ้วน เพราะความหวานจากแท่งธัญพืชเป็นสาเหตุของความอ้วน แทนที่คุณจะสุขภาพดีขึ้น มันกลับทำให้น้ำตาลในเลือดคุณสูงขึ้นอีกด้วย
- เค้ก ความอร่อยที่มาพร้อมกับปัญหา แน่นอนว่าใครก็รู้ว่าเค้กทำให้อ้วนได้ เพราะเค้กมีส่วนผสมของเนยสด แป้ง น้ำตาล ไข่ ครีมชีส ผงฟู เกลือ นมผง นม สารแต่งกลิ่น และรสชาติตามต้องการ ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดนี้ล้วนมีโทษต่อร่างกายทั้งนั้น หากคุณรับประทานเค้กมากจนเกินไป นอกจากจะอ้วนสมใจแล้วคุณจะได้รับโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคมะเร็งเป็นของแถมอีกด้วย
- โดนัท อีกเมนูความเสี่ยงต่อการเกิดโรค โดนัทหนึ่งชิ้นจะให้พลังงาน 300 แคลอรี และมีแป้งซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนผสมอยู่ถึง 50% นอกจากนี้ยังมีเกลือโซเดียมในปริมาณมาก ที่เป็นตัวดูดน้ำในร่างกายของคุณ ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ อีกทั้งการทอดโดนัทในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูงก็ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ซึ่งจะเข้าไปทำลายระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้คุณเป็นโรคอ้วน แก่ก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น และเป็นโรคมะเร็งตบท้ายอีกหนึ่งดอก
- ขนมหวานไทย รู้หรือไม่ว่า ส่วนประกอบของขนมไทยเรานั้นจะมีแป้งกับน้ำตาลเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นตัวการของโรคอ้วน หากรับประทานทีละมาก ๆ อินซูลินที่ตับอ่อนจะเปลี่ยนกลูโคสส่วนเกินไปเป็นไขมัน และสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในที่สุดความอ้วนก็จะถามหา โรคเบาหวานก็จะตามมา ดังนั้นหากจะรับประทานขนมไทยอันได้แก่ ทับทิมกรอบรวมมิตร ลอดช่อง และบัวลอยเผือก คุณควรรับประทานเพียงถ้วยเดียวพอ
- ขนมพาย ขนมชนิดนี้จะมีส่วนผสมที่มีแต่แป้งและเนยเป็นส่วนใหญ่ เป็นตัวการทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคหัวใจเช่นเดียวกับคุกกี้ คุณสามารถรับประทานขนมพายได้ แต่อย่าบ่อยและมากเกินไปก็แล้วกัน ถ้าไม่อยากเสี่ยงต่อโรคดังกล่าว
- ไอศกรีม เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธได้ว่า ไอศกรีมไม่มีโทษต่อร่างกาย เพราะมันมีมากโขเลยทีเดียวล่ะ ถ้าคุณได้รู้ว่าไอศกรีมมีส่วนผสมของอะไรบ้าง คุณก็เข้าใจทันทีว่าทำไมมันถึงถูกจัดให้อยู่ใน 50 เมนูเสี่ยงนี้ เพราะไอศกรีมนั้นมีส่วนผสมของไขมันที่ได้จากสัตว์หรือไขมันที่ได้จากพืช อีกทั้งยังมีส่วนผสมของนมขาดมันเนย ซึ่งได้แก่ แลคโตส โปรตีน และเกลือแร่ต่าง ๆ ที่เป็นตัวเพิ่มเนื้อให้กับไอศกรีมที่คุณรับประทาน ส่วนความหวานนั้นก็ได้มาจากการเติมน้ำตาลทรายลงไป รวมไปถึงสารที่ช่วยเพิ่มความหวานอีกหลายชนิด ว้าวว ! นั่นน่ะมันส่วนผสมอันตรายต่อสุขภาพทั้งนั้น และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพื่อให้ไอศกรีมคงตัว ผู้ผลิตจะต้องเติมสารที่ทำให้เกิดความคงตัวเข้าไป และเติมสารอีมัลซิไฟเออร์เพื่อทำให้ไอศกรีมละลายช้า ท้ายสุดก็เติมสีและกลิ่นลงไป… โดยโทษจากไขมันและน้ำตาลนั้นมันจะส่งผลให้คุณแก่ก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้เส้นเลือดอุดตัน เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ที่น่าห่วงก็คือ มีผู้ผลิตจำนวนไม่น้อยที่ใส่สารเคมีอื่น ๆ ลงไปด้วย ซึ่งสารเหล่านั้นผู้ผลิตจะนำมาใช้แทนส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีราคาแพง เหล่านี้จึงก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ กับผู้บริโภคอีกมากมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง และโรคตับเรื้อรัง เป็นต้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คุณควรจะรับประทานไอศกรีมให้น้อยลงหรือหันไปรับประทานขนมเย็น ๆ แทนบ้าง
- โยเกิร์ตผสมผลไม้ เป็นที่ทราบดีว่า โยเกิร์ตนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย แต่ประโยชน์ทั้งหมดที่คุณจะได้รับจากโยเกิร์ตนั้นต้องเป็น “โยเกิร์ตรสธรรมชาติ” เท่านั้น ถ้าเป็นรสอื่น หรือโยเกิร์ตผลไม้ คุณจะได้รับโทษกับร่างกายแทนการได้รับประโยชน์ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผลไม้เชื่อม และสิ่งที่คุณจะได้รับก็คือความหวานจากน้ำเชื่อม ซึ่งเป็นความหวานที่มากเกินไป แทนที่คุณจะผอมเพรียวแต่กลับกลายเป็นโรคอ้วนซะงั้น แถมสุขภาพยังย่ำแย่อีกด้วย
- ช็อกโกแลต เป็นที่ทราบดีว่า ช็อกโกแลตนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง แต่ประโยชน์ทั้งหมดที่จะได้มานั้นต้องมาจากการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น ! คุณคงยังไม่รู้โทษของช็อกโกแลตนั้นเป็นอย่างไร เพราะนอกจากมันจะมีสารเคมีที่มีประโยชน์แล้ว พวกมันยังมีสารที่เป็นพิษต่อร่างกายอีกด้วย ซึ่งก็คือ สารเฟนิลไธลานิน สารธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน โดยสารพิษเหล่านี้จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง รวมทั้งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นด้วย อีกทั้งพลังงานที่ได้มาจากไขมัน และคาร์โบไฮเดรตที่มีอยู่มากในช็อกโกแลต ก็อาจทำให้คุณต้องเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีสุขภาพดีก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป
- หมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลในหมากฝรั่งนั้นส่งผลกระทบต่อการทำงานของลำไส้อย่างมาก สารให้ความหวานที่ทางการแพทย์เรียกว่า “ซอร์บิทอล” (Sorbitol) นั้นแท้จริงแล้วมันก็คือน้ำตาลแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เมื่อคุณเคี้ยวหมากฝรั่งชนิดนี้เข้าไปมาก ๆ จะทำให้คุณถ่ายบ่อยและมีอาการท้องร่วงจนน้ำหนักตัวลด และหากคุณจะใช้มันเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักล่ะก็ คุณคิดผิด !! เพราะมันจะทำให้ลำไส้และกระเพาะอาหารของคุณเสียหาย ลำไส้และกระเพาะอาหารไม่สามารถดูดซึมสารอาหารเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ ทำให้คุณกลายเป็นคนขาดสารอาหาร น้ำหนักตัวลด และเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานยิ่งไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาล เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณได้
- น้ำอัดลม โดยทั่วไปแล้วน้ำอัดลมจะมีน้ำตาลและสีเป็นส่วนผสม นอกนั้นที่รู้ก็คือการอัดแก๊สอะไรสักอย่างเข้าไปเพื่อทำให้เกิดฟองและรสชาติอันซาบซ่า โดยแก๊สที่อัดเข้าไปนั้นมันคือ “กรดคาร์บอนิก” และยังมีสารเคมีที่เป็นอันตรายมากกว่า นั่นก็คือ “กรดกำมะถัน” คุณอาจไม่รู้ว่ากรดชนิดนี้มันสามารถละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน ! แล้วกระเพาะคุณล่ะ มันจะเป็นยังไง ? อีกทั้งกรดกำมะถันยังเป็นสาเหตุของโรคอ้วนอีกด้วย เพราะหากมันสะสมในร่างกายเป็นจำนวนมากแล้ว มันจะทำให้น้ำหนักตัวของคุณขึ้นสูงและลดได้ยาก อีกทั้งน้ำอัดลมยังมีน้ำโซดาเป็นส่วนผสมที่ยิ่งสร้างผลเสียกับร่างกาย เพราะมันจะเข้าไปชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน และอย่าเพิ่งดีใจไปกับน้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำตาลว่ามันจะไม่ทำให้คุณอ้วน คุณคิดผิดแล้วล่ะ ! เพราะอย่างที่บอกไปในข้อที่แล้วว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้นไม่ได้ทำให้คุณหลีกหนีความอ้วนได้เลย หนำซ้ำยังทำให้สุขภาพแย่ลงอีกด้วย เพราะมันจะไปช่วยเพิ่มความกระหายน้ำตาลของคุณให้มีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้นจะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติหลายเท่า นั่นจึงเป็นสิ่งที่เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพของคุณมากขึ้นกว่าเดิม และสุดท้าย…สีที่ผสมอยู่ในน้ำอัดลมก็ยังเป็นสารก่อมะเร็งในร่างกายอีกด้วย
- ชา ความจริงแล้วชาก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าคุณดื่มมันอย่างถูกวิธีมันก็ให้คุณกับคุณ แต่ถ้าคุณดื่มมันแบบผิด ๆ มันก็จะให้โทษกับคุณได้ ดังนั้นประเด็นมันจึงอยู่ที่วิธีการดื่ม อย่างชาจีนนั้นจะมี “กรดแทนนิค” มากกว่าชาเขียว ซึ่งกรดชนิดนี้ถ้าร่างกายได้รับมากจนเกินไปจะมีผลต่อการทำงานของระบบลำไส้และกระเพาะ ทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก มีผลทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต โดยเฉพาะในเด็กที่ชอบดื่มน้ำชา และการดื่มชาผิดเวลายังส่งผลต่อร่างกายอีก นั่นก็คือ หากดื่มระหว่างการรับประทานอาหารจะส่งผลให้กระเพาะดูดซึมสารได้น้อยลง หากดื่มน้ำชาที่มีความเข้มข้นสูงและมากจนเกินไปจะทำให้คุณท้องผูกและเป็นริดสีดวง อีกทั้งการดื่มชาในขณะท้องว่างก็ยังส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติจนโรคกระเพาะถามหาคุณ ทางที่ดีคุณควรดื่มน้ำชาหลังรับประทานอาหารแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ การดื่มชายังมีข้อห้ามอีกหลายอย่าง เช่น อย่าดื่มชาก่อนนอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ, อย่าดื่มชาขณะรับประทานยา เพราะสารในชาจะทำให้คุณสมบัติของยาเสียไป หรืออาจก่อให้เกิดพิษต่อร่างกาย, อย่าดื่มชาที่ชงทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง เพราะสารต่าง ๆ ในชาจะมีปฏิกิริยาจนกลายเป็นสารพิษ, อย่าดื่มชาขวดแช่เย็น, คนเป็นโรคไต โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคกระเพาะและลำไส้ ไม่ควรดื่มชา เป็นต้น
- กาแฟ ถ้าจะพูดถึงประโยชน์ของกาแฟก็คงจะมีเนื้อที่ไม่พอ เพราะมันมีประโยชน์มากมายอย่างเหลือเชื่อจริง ๆ แต่คุณสมบัติที่ดีของกาแฟจะให้ผลดีกับสุขภาพก็ต่อเมื่อคุณดื่มมันอย่างเหมาะสมเท่านั้น ! ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ควรจะเกิน 3 แก้วต่อวัน หากคุณดื่มมันจนเกินความพอดี คุณจะเกิดอาการใจสั่นเพราะร่างกายได้รับกาเฟอีนมากเกินไป อีกทั้งกาเฟอีนยังทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ทำให้คุณเป็นโรคนอนไม่หลับ อีกทั้งยังก่อให้เกิดอาการหงุดหงิด วิตกกังวล และเกิดอาการทางประสาท ในผู้หญิงอาจทำให้มีบุตรยากขึ้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนสูงหลังหมดวัยมีประจำเดือนมาก ที่สำคัญคือ การดื่มกาแฟมากเกินไปยังมีผลทำให้แก่ก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วอีกด้วย
- เหล้า เหล้านั้นมีเอทิลแอลกอฮอล์ผสมอยู่ ซึ่งมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เมื่อดื่มเข้าไปมาก ๆ จะไปกดสมองบริเวณอื่น ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้คุณเสียการทรงตัว เดินไม่ตรง พูดไม่ชัด และในที่สุดก็หมดสติไป ส่วนใหญ่แล้ววัตถุดิบที่เป็นองค์ประกอบหลักของเหล้าก็คือ น้ำตาลหมัก และยีสต์ แม้ว่าเหล้าจะมีประโยชน์อยู่บ้างแต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เช่น ช่วยขยายหลอดเลือดเพื่อให้เลือดเดินทางได้อย่างสะดวก แต่นั่นคือการดื่มในปริมาณน้อย ๆ เท่านั้น เพราะถ้าดื่มมากไปมันจะกลายเป็นโทษทันที และที่เลวร้ายกว่าหมดสติก็คือ คุณจะเป็นโรคตับแข็งและกลายเป็นโรคมะเร็งร้ายในที่สุด
- เบียร์ การดื่มเบียร์มากจนเกินไปอาจส่งผลร้ายกับร่างกายของคุณมากกว่าประโยชน์ที่ควรจะได้รับ เพราะเบียร์อาจทำให้คุณอ้วนได้ เพราะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ซึ่งน้ำตาลเหล่านั้นก็มาจากการสลายตัวของแป้งที่เป็นธัญพืชที่ใช้ในการหมักทำเบียร์นั่นเอง คุณจึงสังเกตได้ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นิยมดื่มเบียร์จะมีลักษณะบวมหรืออ้วนขึ้นกว่าเดิม ยิ่งถ้าดื่มเป็นประจำเกินความพอดี คุณก็มีสิทธิ์เป็นโรคตับแข็งและมะเร็งได้ด้วยเช่นกัน
- ไวน์ เครื่องดื่มสุดหรูที่มีส่วนประกอบมากมายที่คุณอาจคาดไม่ถึง และส่วนประกอบเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ เนื่องจากไวน์นั้นมีแอลกอฮอล์ที่ละลายในน้ำได้และยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากมายทั้งที่เป็นสารระเหยและสารไม่ระเหยเป็นส่วนประกอบ อีกทั้งยังมีสารละลาย สารแขวนลอย ตัวทำละลายประเภทกลีเซอรอล ซอร์บิทอล และบูตีแลนกลีคอลรวมอยู่ด้วย และหากกระบวนการหมักบ่มไวน์ยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีกรดต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น เห็นหรือยังว่า คุณดื่มอะไรเข้าไปบ้างในไวน์หนึ่งแก้ว ถ้าจะให้ดีคุณไม่ควรดื่มไวน์บ่อยจนติดเป็นนิสัย เพราะการดื่มเป็นประจำและดื่มในปริมาณมากอาจทำให้คุณต้องพบกับปัญหาสุขภาพอย่างแน่นอน
ที่มา : หนังสือ 100 เมนู เสี่ยงโรคร้าย ที่คุณควรระวัง (โดย เอมอร ตรีภิญโญยศ)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)