10 วิธีรักษาภาวะซึมเศร้าหลังคลอด & โรคซึมเศร้าหลังคลอด !

ในช่วงหลังคลอดน่าจะเป็นเวลาที่คุณแม่ทุกคนควรตื่นเต้นร่าเริง และยินดีในความสำเร็จของคุณแม่ที่สามารถให้กำเนิดลูกน้อยที่แข็งแรงสมบูรณ์ให้สมกับที่รอคอยมานาน แต่เชื่อหรือไม่ว่าคุณแม่หลังคลอดเกือบ 90% จะมีอาการเปลี่ยนแปลง และมากกว่าครึ่งหนึ่งของคุณแม่หลังคลอดใหม่ ๆ จะมีอาการซึมเศร้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด คือคุณแม่จะมีอาการร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิด กังวล จิตใจอ่อนไหว นอนไม่หลับ ฯลฯ แต่หากได้รับคำแนะนำและการดูแลที่ถูกต้อง อาการซึมเศร้าหลังคลอดก็จะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่วัน

การให้กำเนิดลูกน้อยเป็นหน้าที่และความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของผู้เป็นแม่ แต่ความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์และหลังการคลอดที่ระดับฮอร์โมนที่พุ่งสูงขึ้นกลับลดลงอย่างฮวบฮาบ จะส่งผลให้อารมณ์แปรปรวน และทำให้เกิดความรู้สึกซึมเศร้าหลังคลอด ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของอาการและระยะเวลาที่เกิด คุณแม่คนเดียวกันแต่คนละครรภ์ก็อาจจะมีอาการซึมเศร้าแตกต่างกันได้

คุณแม่ราวร้อยละ 10-15% จะมีอาการซึมเศร้าปานกลาง ซึ่งคุณแม่จะมีอาการเบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับหรือนอนทั้งวัน คิดว่าชีวิตของตนนั้นไร้ค่า (โรคซึมเศร้าหลังคลอดจะไม่หายหากไม่ได้รับการรักษา) ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขด้วยการปลอบโยนและให้กำลังใจ ตลอดจนการช่วยเหลือที่ถูกต้อง อาการจะรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็น “โรคจิตหลังคลอด” คือคุณแม่จะมีอาการหงุดหงิด สับสน นอนไม่หลับ ถ้ามีใครขัดใจก็จะโกรธรุนแรง บางรายอาจมีอาการหูแว่ว บางรายอาจทำร้ายลูกหรือทำร้ายตัวเอง ซึ่งอาการเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาล แต่อย่างไรก็ตาม โรคจิตหลังคลอดนี้ก็พบได้ไม่บ่อยมากนัก

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หรือ อาการซึมเศร้าหลังคลอด หรือ อารมณ์เศร้าหลังคลอด (Postpartum blues, Maternity blues) เป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดของคุณแม่ที่มีอาการซึมเศร้าหลังคลอด คือประมาณ 50-70% โดยคุณแม่จะมีอาการซึมเศร้าเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ฮอร์โมนที่ลดระดับลงอย่างรวดเร็วจนตรวจไม่พบในกระแสเลือด เชื่อว่าอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณแม่เกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ อารมณ์เศร้าของแต่ละคนจะมีความรุนแรงแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่มักจะปรากฏให้เห็นในช่วง 2-5 วันแรกหลังคลอด (ภาวะซึมเศร้ามักจะเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด หลังจากนั้นอาจจะพบได้บ้างประปราย บางทีอาจจะพบหลังคลอดไปแล้วหลาย ๆ เดือนก็ได้ ซึ่งสาเหตุก็เนื่องมาจากสภาพแวดล้อม คนรอบข้าง และปัญหาต่าง ๆ ที่คุณแม่ยังแก้ไม่ตก) และจะเป็นอยู่นานประมาณ 7-10 วัน แต่ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่พบว่าคุณแม่จะมีอารมณ์เศร้าหลังคลอดใหม่ ๆ โดยคุณแม่อาจจะรู้สึกสับสนแปรปรวน มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล จิตใจอ่อนไหว นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เบื่ออาหารแต่ไม่ถึงกับกินอะไรไม่ได้เลย มีอาการเศร้า เหงา และอาจถึงกับร้องไห้ออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีมากขึ้นหากคุณแม่ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกน้อยเพียงลำพัง

ในช่วงหลังคลอดใหม่ ๆ คุณแม่จะมีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้างกับลูกน้อย แต่ไม่นานต่อมากลับพบว่าตนเองรู้สึกเศร้าสร้อย สับสน และเป็นห่วงเป็นกังวลเรื่องการทำหน้าที่แม่ เพราะกลัวว่าจะเลี้ยงลูกไม่ได้บ้าง หรือกลัวว่าจะเลี้ยงได้ไม่ดีบ้าง คุณแม่ควรใจเย็น ๆ ให้เวลากับตนเองสักนิด เพราะการเป็นแม่ที่ดีนั้นต้องอดทนเรียนรู้ และต้องอาศัยทั้งเวลาและความตั้งใจ เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเนรมิตให้เป็นยอดคุณแม่ได้ในทันที การที่คุณแม่และคุณพ่อได้เรียนรู้ว่าภาวะซึมเศร้าหลังคลอดนั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง พยายามทำความเข้าใจ และหาทางแก้ปัญหาหรือเตรียมการไว้ตั้งแต่ก่อนคลอด พอหลังคลอดแล้วคุณแม่ก็จะเอาชนะมันได้ ทำให้คุณแม่มีกำลังใจ มีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส และสนุกสนานกับการเลี้ยงดูลูกน้อย

แนวทางการรักษา : ควรดูแลในเรื่องของการปรับสภาพจิตใจเป็นหลัก (ดูในหัวข้อ “วิธีรักษาอาการซึมเศร้าหลังคลอด” ด้านล่าง) เช่น การให้กำลังใจ คอยช่วยเหลือเป็นห่วงเป็นใย ฯลฯ เพียงแค่นี้อาการก็จะดีขึ้นเอง

โรคซึมเศร้าหลังคลอด

โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression) เป็นกลุ่มที่พบได้ประมาณ 10-15% ของคุณแม่ที่มีอาการซึมเศร้าทั้งหมด เป็นอาการต่อเนื่องจากภาวะซึมเศร้าแบบแรก คือถ้ามีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเกิน 2 สัปดาห์เมื่อไหร่ก็จะถือว่าเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดแล้ว โดยจะเริ่มเป็นตั้งแต่ในช่วง 2 สัปดาห์หลังคลอดขึ้นไป (อาจเป็นเมื่อลูกมีอายุได้ประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรือไม่ก็หลังจากลูกมีอายุหลายเดือนแล้วก็ได้) และอาจจะคงเป็นอยู่ไปประมาณ 4 สัปดาห์ (ไม่เกิน 1 เดือน) อาการโดยรวมจะเหมือนกับกลุ่มแรกทั้งหมด แต่จะมีระดับความรุนแรงมากขึ้นมาอยู่ในระดับปานกลาง และหลาย ๆ อาการจะเริ่มรบกวนชีวิตประจำวันของคุณแม่ เช่น ไม่กิน ไม่ลุกออกจากเตียง เอาแต่นอนร้องไห้ จนเลี้ยงลูกไม่ได้ ต้องมีคนเข้ามาช่วยเลี้ยงลูก ฯลฯ (แต่กลุ่มนี้จะยังไม่ถึงกับหลุดไปจากโลกแห่งความเป็นจริง คือจะไม่ทำร้ายลูกหรือทำร้ายตัวเอง แม้ว่าอาจจะมีความคิดดังกล่าวก็ตาม)

โรคซึมเศร้าหลังคลอดนี้เป็นโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน แล้วอาการของโรคจะหายไปได้ในไม่ช้า เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้จะซับซ้อนและต้องดูแลรักษานานขึ้นและยากขึ้น โดยคุณแม่แต่ละคนจะมีอาการของโรคซึมเศร้าหลังคลอดหลายอย่างและแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปจะมีอาการซึมเศร้า รู้สึกสิ้นหวังท้อแท้ คิดว่าชีวิตของตนนั้นไร้ค่า เครียด กังวล เบื่อหน่าย รู้สึกเบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับหรือนอนทั้งวัน ขาดสมาธิ มักรู้สึกว่าตัวเองผิด ความคิดหมกมุ่นสับสน และไม่สนใจตัวเองและเพศตรงข้าม ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขด้วยการปลอบโยนและให้กำลังใจ ตลอดจนการช่วยเหลือที่ถูกต้อง อาการจะรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็น “โรคจิตหลังคลอด”

สาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้า : ในปัจจุบันเรายังไม่ทราบสาเหตุของโรคซึมเศร้าหลังคลอดที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าสาเหตุหลัก ๆ น่าจะเกิดจากการสั่งการของสมองและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย แต่ในบางกรณีอาจเกิดจากปัญหาและสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่คุณแม่อาจรับมือไม่ไหวก็เป็นได้ เช่น

  • มีประวัติเคยเป็นโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล หรือเคยมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น เคยถูกกระทำทารุณ หย่าร้าง หรือการเสียชีวิต รวมถึงการมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์หรือในระหว่างการคลอด เช่น ลูกคลอดก่อนกำหนดและไม่แข็งแรง
  • ครอบครัวมีปัญหาทางด้านการเงิน มีระยะเวลาในการลาคลอดที่สั้น ต้องรีบกลับไปทำงาน หรือคู่สมรสขาดความเห็นอกเห็นใจหรือนอกใจ
  • คุณแม่ไม่สามารถให้นมบุตรได้ หรือน้ำนมไม่ไหล
  • ลูกเลี้ยงยากหรือมักงอแงโดยไม่มีเหตุผล หรือต้องเลี้ยงลูกเองตามลำพังโดยสามีและครอบครัวไม่ให้ความช่วยเหลือเท่าที่ควร

สัญญาณบ่งชี้ถึงโรคซึมเศร้าหลังคลอด มีดังต่อไปนี้ (คุณแม่ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดอาจมีบางอาการเหล่านี้หรือมีอาการทั้งหมดก็ได้)

  • มีอารมณ์แปรปรวนหรือมักหงุดหงิดได้ง่าย รู้สึกเศร้า วิตกกังวล ไม่มีความสุข รู้สึกไร้ที่พึ่ง สิ้นหวัง โดดเดี่ยว หวาดกลัว เบื่ออาหาร เหนื่อยล้า หรือมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกน้อย
  • มีอาการนอนไม่หลับ หรือเป็นโรคนอนไม่หลับ
  • รู้สึกว่าตนเองเป็นแม่ที่ไม่ดีพอเท่าที่ควร ขาดความสนใจหรือมีความวิตกกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการดูแลลูกน้อย
  • มีอาการปวดหรือปวดศีรษะเรื้อรัง
  • มีความคิดว่าจะทำร้ายลูกหรือทำร้ายตัวเอง

แนวทางการรักษาโรคซึมเศร้าหลังคลอด :

  • สำหรับการบำบัดรักษาโรคซึมเศร้านั้น สามารถรักษาด้วยยาและการเอาใจใส่ดูแลจากคนรู้ใจอย่างใกล้ชิด (ดูในหัวข้อ “วิธีรักษาอาการซึมเศร้าหลังคลอด” ด้านล่าง) ก็คือคุณพ่อและญาติสนิททั้งหลายที่จะเป็นยาขนานเอกของคุณแม่ ส่วนยาที่คุณหมอให้คุณแม่รับประทานนั้นแม้ว่าจะช่วยให้อาการดีขึ้นก็จริง แต่ยาบางตัวก็อาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น ง่วงซึม ปากแห้งและมึนงง ถ้าคุณแม่คิดว่าทนอาการแพ้ยาไม่ไหวก็ควรปรึกษาหมอเพื่อเปลี่ยนยาที่ใช้ ถ้าภาวะซึมเศร้ามีอาการรุนแรงในช่วงก่อนมีประจำเดือน คุณแม่ควรบอกให้หมอทราบด้วย เพื่อที่หมอจะได้สั่งยาบางอย่างเพิ่มเติมให้ เช่น ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อป้องกันอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน และที่สำคัญคุณแม่จะต้องดูแลตนเองและรับประทานยาที่หมอสั่งอย่างต่อเนื่อง พักผ่อนให้มาก ไม่ควรอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักในเวลานี้ เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย พยายามทำตัวให้ผ่อนคลาย และระบายความรู้สึกเมื่ออึดอัดคับข้องใจ ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณแม่สบายใจและช่วยให้มีอาการดีขึ้นได้
  • ถ้ามีอาการนอนไม่หลับหรือกินอาหารไม่ได้จนร่างกายอ่อนเพลียมาก คุณแม่อาจต้องนอนพักในโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ ให้สารอาหารบำรุงร่างกายเพื่อไม่ให้ร่างกายทรุดโทรมลงไปมากกว่าเดิม

โรคซึมเศร้าหลังคลอด

โรคจิตหลังคลอด

โรคจิตหลังคลอด (Postpartum psychosis) เป็นกรณีที่พบได้ไม่บ่อยมากนัก สามารถเริ่มเกิดได้ตั้งแต่หลังคลอด 4 สัปดาห์ แล้วจะคงอยู่ต่อไปจนกว่าการรักษาจะได้ผล โดยจะมีอาการรุนแรงมากจากโรคซึมเศร้าหลังคลอดและอาจจะหนักถึงขั้นเป็นโรคจิต คุณแม่จะมีอาการหงุดหงิด สับสน นอนไม่หลับ ถ้ามีใครขัดใจก็จะโกรธรุนแรง หรือมีการแสดงอารมณ์ที่ไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ในรายที่เป็นมาก ๆ อาจมีอาการได้ยินเสียงแว่วหรือภาพหลอนทางประสาท หรือบางรายอาจทำร้ายลูกหรือทำร้ายตัวเอง ซึ่งเมื่อมีอาการเหล่านี้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่โรคนี้ก็เป็นโรคที่พบได้น้อยมากครับ โดยมีรายงานจากต่างประเทศว่า พบได้ประมาณ 1-2 รายจากการคลอด 1,000 รายเท่านั้น
หากคุณแม่มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • เห็นและได้ยินสิ่งที่ไม่มีตัวตน
  • ไม่แน่ใจว่าสิ่งใดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ใช่เรื่องจริง
  • มีความคิดว่าจะทำร้ายลูกหรือทำร้ายตนเอง
  • มีความคิดว่าจะฆ่าตัวตายหรือทำฆาตกรรม

แนวทางการรักษา : จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อรับการดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยการใช้ยาและจิตบำบัดร่วมด้วย เพราะถ้าอยู่บ้านโดยที่ไม่มีคนดูแล คุณแม่อาจจะทำร้ายลูกหรือทำร้ายตัวเองได้

โรคจิตหลังคลอด

สาเหตุการเกิดอาการซึมเศร้าหลังคลอด

อาการซึมเศร้าหลังคลอดเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ หลายอย่าง ซึ่งเป็นผลรวมของการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง และอารมณ์ของคุณแม่ในช่วงหลังคลอด โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เชื่อกันว่าฮอร์โมนที่ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงหลังคลอดนั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณแม่มีอารมณ์เศร้าหลังคลอดได้ เพราะเมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนกับเอสโตรเจนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีปริมาณสูงตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ แต่หลังจากที่คุณแม่คลอดในช่วง 2-3 วันแรก ฮอร์โมนทั้งสองชนิดก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ฮอร์โมนลดลงอย่างรวดเร็วนี้ ร่างกายก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย จึงอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของคุณแม่ ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจหรือมีปัญหาต่าง ๆ ให้ขบคิด ก็อาจจะยิ่งทำให้คุณแม่ซึมเศร้าและมีอาการรุนแรงจนกลายเป็นโรคได้
    • การที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนในร่างกายคุณแม่ลดลงอย่างมากและรวดเร็ว โดยเฉพาะที่เชื่อกันมากก็คือการลดลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการซึมเศร้าประมาณ 50% นั้น ในประเด็นนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ครับ และยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้อย่างไร หมอบางท่านก็บอกว่ามีความไม่สมดุลของฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ เป็นต้น
    • ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลงจาก 2,000 นาโนกรัมต่อซี.ซี เหลือเพียง 20 นาโนกรัมต่อซี.ซี. ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดลงในทันทีจาก 150 นาโนกรัมต่อซี.ซี. เหลือเพียง 7 นาโนกรัมต่อซี.ซี ต่อจากนั้นจะลดลงไปเรื่อย ๆ จนเอสโตรเจนเหลือเพียง 10 และโปรเจสเตอโรนเท่ากับ 0 นาโนกรัมต่อซี.ซี.
    • อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนี้ก็ไม่ใช่เพียงสาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหลังคลอดได้ เพราะยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกหลายอย่างรวมกัน และก็พบด้วยว่าคุณพ่อจำนวนไม่น้อยที่เกิดอาการซึมเศร้าหลังคลอดด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เกิดจากฮอร์โมนแน่ ๆ แต่น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจมากกว่า
  2. คุณแม่รู้สึกไม่ใช่จุดรวมความสนใจอีกต่อไป ในช่วงก่อนคลอดใคร ๆ ก็มักจะสนใจหรือถามไถ่ถึงสุขภาพของแม่อยู่เสมอ ในช่วงเวลานั้นคุณแม่จึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวเอก เป็นขวัญใจ หรือเป็นจุดรวมของความสนใจ แต่พอหลังการคลอดคุณแม่กลับมิได้รับความสนใจเหมือนเคยอีกต่อไป เพราะญาติพี่น้องหรือผู้ไปเยี่ยมเยียนมักจะหันไปสนใจลูกน้อยเป็นหลัก เช่น เมื่อไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ญาติก็มักจะทักทายกับคุณแม่เพียงคำสองคำแล้วก็พากันไปดูลูกน้อยที่ห้องเด็กอ่อน และคำถามที่คุณแม่ได้รับส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับลูกเป็นส่วนใหญ่ ว่าลูกเป็นอย่างไร ร้องกวนไหม หน้าตาเหมือนใคร ฯลฯ แต่จะมีผู้มาเยี่ยมเพียงไม่กี่คนที่จะถามถึงเรื่องสุขภาพของคุณแม่ว่าเป็นอย่างไร เจ็บแผลมากไหม เลี้ยงลูกเหนื่อยหรือเปล่า มีเวลาพักผ่อนเพียงพอหรือมีปัญหาในการเลี้ยงลูกหรือไม่ (คำแนะนำ : ถ้าจะซื้อของขวัญไปเยี่ยมคุณแม่หลังคลอด ผมขอแนะนำว่าควรซื้อของขวัญให้คุณแม่หรือลูกคนโต (ถ้ามี) น่าจะมีประโยชน์มากกว่าในแง่ของการส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจ และควรให้ความสนใจกับคุณแม่และคนโตมากกว่าลูกน้อยที่เกิดใหม่ซึ่งยังไม่รู้เรื่องอะไร เพราะใครให้อะไรมาเจ้าตัวน้อยก็ยังไม่รู้เรื่องหรอกครับ หรือซื้อมาแล้วอาจจะซ้ำที่มีอยู่แล้วก็ได้ แต่การซื้อของขวัญให้ลูกคนโตรวมถึงการถามไถ่เกี่ยวกับตัวเขาบ้างก็จะช่วยให้เขาเป็นพี่ที่ดีและไม่อิจฉาน้องต่อไป)
  3. การอยู่ในโรงพยาบาล เป็นเรื่องของกฎระเบียบในโรงพยาบาลที่คุณแม่ต้องปฏิบัติตาม จึงทำให้คุณแม่หลาย ๆ คนรู้สึกเครียดกับการที่ต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ๆ เพราะสภาพแวดล้อมไม่เหมือนที่บ้าน คุณแม่หลังคลอดจึงมักนอนไม่หลับเพราะรู้สึกแปลกที่ หรือลูกอาจร้องกวนในเวลากลางคืน
  4. ปัญหาครอบครัวหรือปัญหาที่ต้องเจอตอนกลับบ้าน เป็นเรื่องปกติที่คุณแม่ต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ภายในบ้านที่รุมล้อมอยู่ เช่น ไม่มีใครช่วยทำงานบ้าน ช่วยหุงหาอาหาร ช่วยเลี้ยงดูลูก หรือช่วยเลี้ยงดูแลลูกคนโต ฯลฯ รวมถึงสภาพทางเศรษฐกิจที่ยังไม่พร้อม เหล่านี้จึงทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสมจนบางครั้งก็หาทางแก้ไม่ได้
  5. ขาดความมั่นใจในการดูแลลูกน้อย เรื่องนี้มักจะเกิดขึ้นกับคุณแม่มือใหม่มากกว่า เพราะคุณแม่ยังไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกมาก่อน จึงทำให้เกิดความกังวลใจว่าตนเองจะไม่สามารถเลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีได้ เช่น กลัวว่าจะเลี้ยงลูกไม่ได้ ไม่รู้จะอุ้มลูกหรืออาบน้ำให้ลูกอย่างไร ฯลฯ
  6. ความผิดหวังในตัวลูก เป็นเรื่องที่คุณแม่เมื่อคลอดลูกแล้วกลับรู้สึกผิดหวังที่ตนไม่ได้ลูกตามเพศที่ตัวเองต้องการ เพราะคาดหวังเพศของลูกเอาไว้มาก หรืออาจจะผิดหวังที่ลูกเกิดมาตัวเล็ก หรือมีหน้าตาแปลก ๆ ตัวแดง ๆ หัวอาจจะยาว ๆ เนื่องจากการคลอดที่เนิ่นนาน ลูกน้อยทำอะไรก็ไม่ได้ นอนได้อย่างเดียว ยิ้มหรือหัวเราะก็ไม่เป็น ฯลฯ
  7. ความผิดหวังในเรื่องการคลอด คุณแม่หลายคนอาจผิดหวังในเรื่องของการคลอดบ้าง เพราะบางคนคิดว่าตัวเองน่าจะคลอดได้สบายแต่ก็คลอดยาก บางคนไม่อยากผ่าคลอดแต่ก็จำเป็นต้องผ่าหรือใช้เครื่องมือช่วยคลอด หรือในทางตรงข้าม คุณแม่บางรายอยากให้หมอผ่าคลอดให้เพราะกลัวว่าจะเจ็บท้อง แต่หมอก็ไม่ยอมให้ผ่าเพราะไม่มีความจำเป็น ความผิดหวังและความเจ็บปวดจากการคลอดที่เกิดขึ้นจึงอาจเปลี่ยนเป็นความเครียดได้
  8. ลูกร้องกวนตลอดเวลา หิวก็ร้อง ฉี่ก็ร้อง อึก็ร้อง ดึก ๆ ดื่น ๆ ลูกก็ยังไม่ยอมนอน แม่ต้องอุ้มตลอด เพราะถ้าวางลูกก็ร้อง ครั้นแม่จะอุ้มเองก็อุ้มไม่เป็นอีก เพราะกลัวว่าลูกจะหลุดมือ เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น จึงทำให้คุณแม่หลายคนรู้สึกเครียดมาก บางคนถึงกับนั่งร้องไห้เลยก็มี
  9. เจ็บแผลหรือรู้สึกไม่สบายตัว หลังการคลอดคุณแม่อาจจะรู้สึกเจ็บแผลฝีเย็บที่ปากช่องคลอดหรือเจ็บแผลผ่าตัดคลอด แม้จะรับประทานยาแก้ปวดแล้วแต่ก็พอช่วยบรรเทาอาการได้ไม่มาก จึงทำให้คุณแม่รู้สึกทุกข์ทรมาน ยิ่งถ้าแผลมีการอักเสบหรือเป็นหนองด้วยแล้วก็ยิ่งทุกข์ทรมานมากขึ้นเป็นทวีคูณ ส่วนคุณแม่บางคนที่ถ่ายปัสสาวะเองไม่ได้ในช่วง 1-2 วันแรกและจำเป็นต้องใส่สายสวนปัสสาวะไว้ตลอดเวลา ก็อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเกิดความกังวลว่าตนเองจะต้องถูกใส่สายสวนไว้นาน จะเดินไปไหนก็ต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วย เรื่องแบบนี้ก็ทำให้เกิดความเครียดได้เช่นกันครับ
  10. ผิดหวังในรูปร่างหลังคลอดของตัวเองหรือกลัวว่าจะไม่เป็นที่รักของสามีอีกต่อไป หลังคลอดความมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งจะหายไป เมื่อคุณแม่มองดูตัวเองจึงพบว่ามีแต่ไขมันและรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าท้อง ส่วนท้องที่แตกลายก็ยังไม่หาย จึงเกิดความกังวลและกลัวว่ารูปร่างที่เปลี่ยนไปนี้อาจทำให้คุณพ่อรู้สึกเบื่อได้ อีกทั้งเสื้อผ้าอย่างชุดคลุมท้องเมื่อใส่หลังคลอดก็รู้สึกหลวมไป เสื้อผ้าเก่าก่อนตั้งครรภ์ก็ยังใส่ไม่ได้ จึงทำให้ชีวิตรู้สึกขาดความพอดี

จะเห็นได้ว่าอาการซึมเศร้าหลังคลอดนั้นเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ หลายอย่างรวมกัน อาจมากบ้าง น้อยบ้าง ไม่เท่ากัน บางรายที่แก้ปัญหาได้หรือเตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้วก็จะไม่เครียดมาก แต่บางรายที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยก็เกิดอาการซึมเศร้าได้ ซึ่งจะปรากฏอยู่ประมาณ 2-3 วันแรกหลังการคลอด

อาการซึมเศร้าส่งผลเสียอย่างไร

  • ทำให้สุขภาพของคุณแม่เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว เพราะในช่วงหลังคลอดกว่าร่างกายจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้นั้นจะต้องอาศัยการบริหารร่างกายและการรับประทานอาหารที่ถูกสัดส่วน แต่พอมีอาการซึมเศร้าขึ้นมาคุณแม่ก็มักจะรับประทานอาหารไม่ได้ ส่วนเรื่องการบริหารร่างกายยิ่งไม่ต้องพูดถึง แถมยังมีภาระในการเลี้ยงลูกอีก พอไม่ได้กินไม่ได้นอน สุขภาพก็จะแย่ลงไปด้วย
  • หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้ทารกเสี่ยงต่อการมีพัฒนาการที่ล่าช้ากว่าเด็กทั่วไป ซึ่งเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง ที่เลวร้ายกว่านั้นมาก ๆ ก็คืออาจจะถึงขั้นทิ้งลูก ทำร้ายลูก หรือทำร้ายตัวเองเลยก็ได้
  • ทารกที่มีแม่หลังคลอดป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เมื่อโตขึ้นอาจแสดงออกถึงพฤติกรรมต่อต้านสังคม เช่น โกหก ขโมยของ อารมณ์ร้อน ชอบใช้กำลัง ชอบแกล้งเพื่อน และมีมนุษยสัมพันธ์ไม่ดีนัก

วิธีรักษาอาการซึมเศร้าหลังคลอด

เนื่องจากอาการซึมเศร้าหลังคลอดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสาเหตุต่าง ๆ หลายอย่าง และอาจเกิดแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งคุณแม่เองจำเป็นต้องรู้ถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น เพราะถ้าเรารู้สาเหตุก็จะได้หาทางป้องกันและแก้ไขไว้ก่อนตั้งแต่ล่วงหน้า ก็จะทำให้อาการรุนแรงน้อยลง รักษาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด หรืออาจจะป้องกันไม่ให้เกิดความเครียดขึ้นเลยก็ได้ครับ

  1. เริ่มป้องกันตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ การป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการซึมเศร้าหลังคลอดนั้น ถ้าจะให้ได้ผลสูงสุดก็ต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ กล่าวคือ การเตรียมพร้อมที่จะเป็นแม่นั่นเอง อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะมีการวางแผนการมีลูกร่วมกันกับคุณพ่อว่าจะมีลูกเมื่อมีฐานะและอาชีพที่มั่นคง มีชีวิตการสมรสราบรื่น และว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ได้คุยปรึกษาหารือกันมาเป็นอย่างดีแล้วว่าพร้อมที่จะมีสมาชิกใหม่ รวมทั้งคุณแม่ควรบำรุงร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อจะได้เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะในขณะตั้งครรภ์ร่างกายจะต้องทำงานหนักเพื่อประคับประคองให้ลูกน้อยในครรภ์สมบูรณ์แข็งแรงและมีการคลอดที่ปลอดภัย หากการวางแผนเป็นไปอย่างราบรื่นจะช่วยให้คุณแม่ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป และทางที่ดีก่อนจะมีลูกว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอที่คลินิกให้คำปรึกษาก่อนการตั้งครรภ์
  2. ฝากครรภ์เรื่องสำคัญ เมื่อเริ่มตั้งครรภ์แล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณแม่จะต้องไปฝากครรภ์เพื่อขอรับคำแนะนำในเรื่องของการปฏิบัติตน รวมทั้งเพื่อจะได้รับการดูแลป้องกันและรักษาโรคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อให้การตั้งครรภ์นั้นดำเนินไปอย่างเป็นปกติ คุณแม่จะได้หมดห่วงและไม่ต้องมาวิตกกังวลกับเรื่องในระหว่างการตั้งครรภ์และหลังการคลอดมากนัก
  3. คุณพ่อมีส่วนช่วยคุณแม่ได้อย่างมาก ก่อนการคลอดคุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาหารือกันถึงการดำเนินชีวิตภายหลังจากที่ลูกน้อยได้คลอดออกมาแล้ว โดยคุยกันและตกลงกันไว้ก่อนว่าใครจะต้องทำอะไรบ้าง ทำอย่างไร ไม่ว่าจะในเรื่องของการเลี้ยงลูก การหุงหาอาหาร การทำงานบ้าน การจ่ายตลาด ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าคุณพ่อได้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของคุณแม่ รวมทั้งคอยซักถามว่าคุณแม่ต้องการอะไร หรือไม่ต้องการอะไร โดยยอมตามใจคุณแม่บ้าง รวมถึงการระวังคำพูดไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจของคุณแม่ ก็จะช่วยให้คุณแม่ไม่เครียดได้เยอะเลยทีเดียวครับ เพราะในช่วงนี้คุณแม่กำลังมีอารมณ์ที่อ่อนไหวและเปราะบางอย่างมาก
  4. ดูแลและเอาใจใส่ตัวเอง คุณแม่อย่าเป็นกังวลในสิ่งที่ไม่ควรกังวล ถ้าบ้านจะสกปรกหรือรกไปบ้างก็ให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ทำไปทีละเล็กละน้อย รู้จักปล่อยวางบ้าง อย่าทำให้ตัวเองต้องเครียดไปเสียทุกเรื่อง และควรคิดถึงตนเองในแง่ดีและให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ ส่วนคุณพ่อก็อย่าเพิ่งเรียกร้องหรือคาดหวังว่าบ้านจะต้องสะอาด กลับมาแล้วอาหารจะต้องพร้อมเหมือนเช่นตอนที่ยังไม่มีลูก เพราะจะยิ่งทำให้คุณแม่วิตกกังวลและว้าวุ่นกับงานบ้านจนเกินไป
  5. หาคนช่วยเหลือและหากำลังใจ คุณแม่อาจให้บุคคลในครอบครัว คุณพ่อ เพื่อน ๆ หรือผู้ให้บริการดูแลเด็กอื่น ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลลูกน้อย หรือให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยดูแลลูกคนอื่น ๆ ทำงานบ้าน คอยเตรียมอาหาร ฯลฯ หรือหาที่พึ่งทางใจ เช่น การโทรหาเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวเพื่อขอกำลังใจ นอกจากนี้ถ้ายังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง คุณแม่ก็ควรหาโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มช่วยเหลือต่าง ๆ หรือเข้าร่วมกลุ่มกับคุณแม่ที่คลอดในช่วงเวลาใกล้เคียงกันที่โรงพยาบาลเพื่อถามไถ่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน คุณแม่จะได้รู้สึกมีกำลังใจและไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ตัวคนเดียว
  6. รู้จักระบายความรู้สึก ถ้าคุณแม่รู้สึกหงุดหงิด หรือรู้สึกอึดอัดคับข้องใจใด ๆ ก็อย่าเก็บไว้คนเดียว คุณแม่ควรพูดระบายถึงความรู้สึกที่อัดอั้นนั้นออกมากับใครสักคนที่วางใจได้ ซึ่งตอนนี้กำลังใจจากคุณพ่อจะช่วยได้มากทีเดียว เพราะการที่คุณพ่อคอยเป็นที่พึ่งทางใจให้กับคุณแม่และคอยให้กำลังใจ ชมคุณแม่บ่อย ๆ จะช่วยให้คุณแม่ผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ด้วยดี หรือถ้าไม่มีที่จะระบายคุณแม่ก็อาจจะเขียนระบายความรู้สึกลงในกระดาษแล้วฉีกทิ้งเสียก็ได้ จะทำให้คุณแม่รู้สึกสบายใจและมีอารมณ์ที่ดีขึ้น
  7. เลิกวิตกกังวล อาการเจ็บปวด สับสน อ่อนเพลียในช่วงหลังคลอดนั้นเป็นเรื่องธรรมดา คุณแม่ไม่ควรเป็นกังวลเมื่อรู้ตัวว่ามีอาการซึมเศร้า พยายามดูแลรักษาตนเอง ควรอดทน รู้จักผ่อนคลาย และมีความเชื่อมั่นว่าจะต้องหายเป็นปกติได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใด เพราะถ้าคุณแม่คิดมาก มีอารมณ์ซึมเศร้าก็อาจจะทำให้มีอาการมากขึ้น
  8. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผักและผลไม้สด รวมทั้งน้ำผลไม้คั้นสดนั้นเป็นแหล่งของวิตามินที่ช่วยให้คุณแม่รู้สึกสดชื่นและช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอาหารจำพวกขนมหวานหรือของกินจุบจิบนั้นควรหลีกเลี่ยง แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์บ่อย ๆ ในปริมาณน้อย และอย่าคิดอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
  9. ออกกำลังกายเบา ๆ คุณแม่อย่ามัวแต่อุดอู้อยู่แต่ในบ้านและหมกมุ่นอยู่กับการเลี้ยงลูกมากจนเกินไป คุณแม่ควรปลีกเวลาออกไปเดินเล่นกับลูกหรือออกกำลังกายเบา ๆ นอกบ้านในสวนอันร่มรื่นบ้าง ส่วนการเล่นโยคะ หรือพิลาทิสก็ช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายได้เช่นกัน ซึ่งการออกกำลังกายนี้จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีอารมณ์แจ่มใสยิ่งขึ้น
  10. พักผ่อนให้เพียงพอ ในช่วงกลางวันคุณแม่ควรพยายามงีบหลับบ้างและหาคนช่วยดูแลลูกในตอนกลางคืน เพื่อที่จะได้มีเวลาพักผ่อนให้มากขึ้น ทำให้รู้สึกสดชื่น เพราะร่างกายที่อ่อนเพลียนั้นจะทำให้อาการซึมเศร้าที่เป็นอยู่เลวร้ายลง คุณแม่ต้องระวังอย่าทำอะไรเกินกำลังตนเอง อย่าฝืนทำในสิ่งที่ทำไม่ไหว เมื่อเหนื่อยนักก็ควรเอนหลังนั่งหรือนอนสบาย ๆ ยกขาสูง ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ฟังเพลงโปรด อ่านหนังสือสักเล่ม ก็จะช่วยให้สดชื่นขึ้น
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “อาการซึมเศร้าหลังคลอด”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ).  หน้า 394-398.
  2. หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  “อารมณ์เปลี่ยนแปลงหลังคลอด”.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์).  หน้า 274-275.
  3. Abbott Nutrition.  “โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : abbottnutrition.com.  [23 ก.พ. 2016].

ภาพประกอบ : momjunction.com, www.findapsychologist.org, www.wholeparent.com, www.huffingtonpost.ca

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด