ว่านพระฉิม
ว่านพระฉิม ชื่อสามัญ Air potato, Aerial yam, Bulbilbearing yam, Potato yam[1],[3]
ว่านพระฉิม ชื่อวิทยาศาสตร์ Dioscorea bulbifera L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Dioscorea anthropophagorum A.Chev., Dioscorea crispata Roxb., Dioscorea heterophylla Roxb., Dioscorea hoffa Cordem., Dioscorea pulchella Roxb., Dioscorea sativa f. domestica Makino, Dioscorea sylvestris De Wild., Helmia bulbifera (L.) Kunth, Polynome bulbifera (L.) Salisb.) จัดอยู่ในวงศ์กลอย (DIOSCOREACEAE)[1],[2]
สมุนไพรว่านพระฉิม มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มันอีโม้ (สุโขทัย), มันอีลุ้ม (จันทบุรี), อีรุมปุมเป้า (ปราจีนบุรี), มันกะทาด (นครราชสีมา), มันหลวง (ประจวบคีรีขันธ์), มันเสิน มันตกเลือด (นครศรีธรรมราช), มะมู หำเป้า (ภาคเหนือ), มันขมิ้น ว่านสามพันตึง (ภาคกลาง), ไคว้เคียว โค่ยเมี่ยน มันงูเห่า สะมีโค่ยม่า (ลั้วะ), ด่อยจู๊ (เมี่ยน), เล่าะแจ๊มือ, ละสามี, มะมู, เดะควา เป็นต้น[2],[3]
ลักษณะของว่านพระฉิม
- ต้นว่านพระฉิม จัดเป็นไม้เถาล้มลุกเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่น เถาเลื้อยแบบหมุนเวียนซ้าย อาจยาวได้ถึง 6 เมตร ลำต้นมีลักษณะเกลี้ยงเป็นเหลี่ยมคล้ายปีกหรือคล้ายหนามปราศจากขน มีหัวอยู่ใต้ดินขนาดใหญ่ มีลักษณะโป่งนูนเป็นลูก ๆ โดยเชื่อมติดกันที่โคนต้น พบได้ที่ระดับความสูง 1,000-2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล[1],[2],[3]
- หัวอากาศว่านพระฉิม หัวย่อยหรือหัวอากาศที่เกิดตามซอกใบ บางครั้งเกิดขึ้นแทนดอกเพศผู้ตามง่ามช่อดอก หัวมีขนาดเล็กและมักเป็นปมตะปุ่มตะป่ำ หัวโตมักจะมีสีผิวเป็นมัน ลักษณะของหัวเป็นรูปทรงกลมหรือมีรูปคล้ายไต มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร แบนเล็กน้อย เป็นสีน้ำตาลถึงสีเทา อาจมีน้ำหนักถึงครึ่งกิโลกรัมหรือ 2 กิโลกรัม เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองซีด มีจุดสีม่วงกระจายอยู่ จะเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อถูกอากาศ และมีลักษณะเป็นเมือก[3]
- ใบว่านพระฉิม ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบเรียวแหลมบ้างเป็นจะงอย โคนใบเว้ามนหรือเว้าลึก ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-20 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7-25 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบบาง หลังใบเป็นสีเขียวเป็นมัน แต่หยิกย่นน้อย ๆ ระหว่างเส้นใบ ส่วนท้องใบเป็นสีอ่อนกว่า เส้นใบหลักออกมาจากจุดเดียวกันจากฐานใบ มีเส้นใบข้างประมาณ 5-8 คู่ เส้นย่อยเรียงตัวกันตามขวางแบบขั้นบันได ก้านใบยาวประมาณ 2.5-12 เซนติเมตร เป็นเหลี่ยมคล้ายปีก[2],[3]
- ดอกว่านพระฉิม ดอกเป็นแบบแยกเพศและอยู่กันคนละต้น โดยจะออกดอกเป็นช่อยาวตามซอกใบ ดอกมีขนาดเล็ก ดอกเพศผู้จะเป็นช่อเชิงลดห้อยลง ยาวได้ประมาณ 5-13 เซนติเมตร ออกเป็นกลุ่มบนแกน บางครั้งอาจพบเป็นช่อแยกแขนง เกสรเพศผู้มี 6 อัน เป็นหมันทั้งหมดหรือเป็นครึ่งหนึ่ง ดอกมีกลิ่นหอมเป็นสีขาวออกเขียวอ่อน กลีบดอกมี 6 กลีบ เรียงเป็นชั้น 2 ชั้น ส่วนดอกเพศเมีย จะออกเป็นช่อเชิงลด ยาวได้ประมาณ 10-20 เซนติเมตร ลักษณะของดอกเพศเมียจะคล้ายกับดอกเพศผู้ แต่ดอกเพศเมียจะมีดอกน้อยกว่าและเมื่อดอกบานออกจะมีขนาดกว้างกว่าดอกเพศผู้ โดยดอกว่านพระฉิมจะออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน[2],[3]
- ผลว่านพระฉิม ผลเป็นแบบแคปซูล หรือเป็นฝักทรงรี ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน มีขนาดกว้างประมาณ 1.1-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2 เซนติเมตร โค้งพับลง มีปีกสีน้ำตาลเป็นมัน ส่วนเมล็ดมีขอบคล้ายปีกที่ฐาน[2],[3]
สรรพคุณของว่านพระฉิม
- ตำรายาไทยจะใช้หัวใต้ดินนำมาทำให้สุกใช้รับประทานเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร (หัวใต้ดิน)[2],[3]
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านเบาหวาน ด้วยการใช้เหง้าแห้งของว่านพระฉิม ขนาด 10-20 กรัม นำมาบดให้ละเอียดชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น (หัว)[1]
- หัวใต้ดินนำมาทำให้สุกใช้กินเป็นยาแก้บิด แก้อาการปวดท้อง ท้องย้อย ลำไส้อักเสบ (หัวใต้ดิน)[2],[3]
- หัวนำมาฝานตากแห้ง ใช้ปรุงเป็นอาหารแป้ง และกินเป็นยารักษาโรคกระเพาะ (หัว)[2],[3]
- ช่วยขับพยาธิ (หัวใต้ดิน)[2],[3]
- หัวสุกใช้รับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ (หัวใต้ดิน)[2],[3]
- หัวใต้ดินสุกใช้รับประทานเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (หัวใต้ดิน)[2],[3]
- ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย (หัวใต้ดิน)[2],[3]
- หัวใต้ดินนำมาหั่นเป็นแผ่นบาง ๆ ใช้ปิดแผล แก้อักเสบ (หัวใต้ดิน)[2],[3]
- รากนำมาตำใช้เป็นยาพอกรักษาสิว ฝ้า และไฝ (ราก)[2],[3]
- หัวใต้ดินเป็นยาขม ยาเย็น มีสรรพคุณช่วยขับน้ำนมของสตรี (หัวใต้ดิน)[2]
- บางข้อมูลระบุว่า ว่านพระฉิมมีชื่อเรียกอื่นว่า “ว่านกลิ้งกลางดง” (คนละชนิดกันกับ “ต้นกลิ้งกลางดง”) สามารถนำหัวมาใช้ฝนร่วมกับว่านเพชรหึง มีน้ำซาวข้าวเป็นกระสาย ใช้กินเป็นยาแก้ฝีกาฬ ใช้ทาแก้ฝีหัวเดียว แก้เมื่อยหลังเจ็บเอว และระงับพิษร้อน (ไม่ยืนยันความถูกต้องของข้อมูลข้อนี้)[4]
หมายเหตุ : หัวใช้รับประทานได้ทั้งหัวอากาศและหัวใต้ดิน แต่หัวใต้ดินจะแข็ง ต้องนำมาแช่น้ำหรือทำให้สุกเพื่อกำจัดสารพิษก่อนจึงจะสามารถนำมารับประทานหรือใช้ประกอบอาหารได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของว่านพระฉิม
- สารสำคัญที่พบ ได้แก่ acetophenone, batatasin, diosbulbin, diosbulbinoside D, dioscorine, diosgenin, phenanthrene, sorbitol, trillin[1]
- ว่านพระฉิมมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ก่อโรคพืช ฆ่าหอย ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านเบาหวาน ต้านการก่อกลายพันธุ์ ต้านมะเร็ง ทำให้หลอดเลือดหดตัว ขับปัสสาวะ ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง ต้านฮอร์โมน LH เป็นพิษต่อตับ เป็นพิษต่อเซลล์[1]
- เมื่อปี ค.ศ.1992 ที่ประเทศจีน ได้ทดลองใช้สารสกัดจากเหง้าของว่านพระฉิมในหนูทดลอง โดยผลการทดลองพบว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้[1]
ประโยชน์ของว่านพระฉิม
- ใบอ่อนและยอดอ่อนใช้รับประทานผักสด ผักลวก หรือนึ่งกินกับน้ำพริก[2],[3]
- หัวย่อยนำมาเผาไฟหรือนึ่งกินเนื้อเป็นอาหารว่างได้[2],[3]
- ชาวเมี่ยนจะใช้หัวใต้ดินนำมาขูดเป็นเส้น แล้วนำมานึ่งรับประทานแทนข้าวในยามขัดสน[3]
- ชาวเมี่ยนจะนำหัวว่านพระฉิมมาทุบใส่แผลให้สุนัข[3]
- หัวนำมากินหรือใช้ติดตัวเชื่อว่าจะคงกระพันชาตรี[4]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ว่านพระฉิม”. หน้า 140.
- ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ว่านพระฉิม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [17 ส.ค. 2014].
- โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ว่านพระฉิม”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 5 (ลีนา ผู้พัฒนพงศ์)., หนังสือองค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทย เล่ม 1. (สุธรรม อารีกุล, จำรัส อินทร, สุวรรณ ทาเขียว, อ่องเต็ง นันทแก้ว). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [17 ส.ค. 2014].
- มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดแพร่, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ว่านพระฉิม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phrae.mju.ac.th/cms/rspg/. [17 ส.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Forest and Kim Starr, Russell Cumming, Dinesh Valk, Nieminski, Ahmad Fuad Morad, Vallari Vindhya)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)