ว่านคันทมาลา
ว่านคันทมาลา ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma Sp. จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)[1]
สมุนไพรว่านคันทมาลา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า คันฑมาลา, ว่านขาว, ว่านนางคำขาว, ว่านคันทมาลาน้อย เป็นต้น[1]
ลักษณะของว่านคันทมาลา
- ต้นว่านคันทมาลา มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางจังหวัดจันทบุรี จัดเป็นพรรณไม้ลงหัวล้มลุก ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวคล้ายกับกับขิง ข่า กะทือ ไพล ฯลฯ มีลำต้นเทียมสูงกว่า 1 เมตร ลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้าขนาดใหญ่ หัวหลักมีลักษณะเป็นรูปไข่แคบ เนื้อในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยชั้นนอกจะเป็นสีม่วงดำ ส่วนชั้นในจะเป็นสีขาวอมเหลือง หัวมีกลิ่นเผ็ดร้อนคล้ายกับว่านพระตะบะ แตกแขนงย่อยทั้งสองข้าง มีข้อและปล้องชัดเจน พรรณไม้ชนิดนี้ขยายพันธุ์โดยใช้หัวว่านลงดิน ดินที่นำมาใช้ปลูกคือดินปนทราย กลบดินให้พอมิดหัวว่าน แต่อย่ากดจนแน่น แล้วรดน้ำให้พอดินชุ่มทั่วกัน ว่านคันทมาลาจะเจริญงอกงามได้ดีในช่วงฤดูฝน พอถึงฤดูหนาวใบจะตาย[1],[2]
- ใบว่านคันทมาลา มีรูปร่างคล้ายกับใบว่านมหาเมฆ และขนาดของใบมีขนาดเท่ากับใบพุทธรักษา โดยมีใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน และมีเส้นกลางใบเป็นสีแดงเข้ม[1],[2]
- ดอกว่านคันทมาลา ออกดอกเป็นช่อที่ปลายลำต้นเทียม มีใบประดับตอนล่างเป็นสีเขียวอ่อน ส่วนปลายเป็นสีม่วงแดง ส่วนใบประดับตอนบนเป็นสีม่วงแดงทั้งใบ ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน มีแถบกลางเป็นสีเหลืองอ่อน ลักษณะของกลีบดอกที่แลบออกมาจากซอกกลีบประดับจะเป็นสีเหลืองสด ลักษณะเป็นรูปกรวยยาว ลักษณะของดอกคล้ายกับลูกสับปะรด มีกลีบดอกเป็นชั้น ๆ ดูสวยงาม[1]
สรรพคุณของว่านคันทมาลา
- หัวว่านคันทมาลา มีกลิ่นและรสคล้ายกับว่านนางคำ นำมาฝนกับเหล้าหรือน้ำส้มสายชู แล้วชุบด้วยสำลี ใช้อมไว้ข้าง ๆ แก้ม ค่อย ๆ กลืนเอาแต่น้ำทีละน้อย เป็นยารักษาต่อมทอนซิลอักเสบ และรักษาฝีในคอ (หัว)[1]
- หัวใช้ฝนกับเหล้าทาแก้อาการเจ็บคอ (หัว)[3]
- ใช้เป็นยาแก้บิด แก้ท้องขึ้น ท้องร่วง ด้วยการใช้หัวว่านนำมาฝนกับเกลือสินเทา แทรกกับน้ำร้อนหรือน้ำปูนใส (ไม่ได้ระบุวิธีใช้) (หัว)[3]
- หัวใช้ฝนกับน้ำปูนใส ใช้ทาท้อง แก้อาการปวดท้องในเด็ก (หัว)[3]
- หัวนำต้มหรือดองกับเหล้าขาวกินเป็นยาชักมดลูกให้เข้าอู่เร็ว ในรายที่เพิ่งคลอดบุตร อยู่ในเรือนไฟ (หัว)[3]
- หัวนำมาโขลกและห่อด้วยผ้าขาว ใช้ดองกับเหล้าขาวกินเป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนักและลำไส้ (หัว)[3]
- หัวใช้ฝนทารักษาอาการเคล็ด ขัดยอก ฟกช้ำ และอาการบวมได้ดีมาก (หัว)[1]
- หัวใช้ตำพอกรักษาฝีคันฑมาลา ฝีประคำร้อย และรักษาฝีได้ทุกชนิด (หัว)[1] ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งระบุว่า ให้นำหัวว่านที่ล้างน้ำสะอาดแล้วมาโขลกให้ละเอียดผสมกับเหล้าโรง 40 ดีกรี ใช้ว่านพอประมาณ กะเหล้าให้พอท่วมยา หรือจะใช้สูตรเหล้าโรง 1 ขวด ต่อหัวว่านโขลกละเอียด 1 ใน 3 ส่วนของเหล้า 1 ขวดก็ได้ ดองให้ครบ 24 ชั่วโมง แล้วตักมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2 เวลา เช้าและเย็น จะก่อนอาหารหรือหลังอาหารก็ได้ จะมีสรรพคุณเป็นยารักษาฝีต่าง ๆ ได้เด็ดขาดนัก โดยเฉพาะฝีประคำร้อน ฝีมะม่วง แต่ก่อนจะใช้ต้องกล่าวคาถากำกับ คือ “นะโมพุทธายะ” 3 จบ ทุกครั้ง[2]
หมายเหตุ : สรรพคุณตาม [3] ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจน เพราะยังขาดแหล่งอ้างอิง
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของว่านคันทมาลา
- สารสกัดหยาบพอลิแซ็กคาไรด์จากว่านคันทมาลา (สกัดด้วยน้ำร้อนและตามด้วยการตกตะกอนโดยเอทานอล แล้วนำมาทำให้แห้ง) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ โดยมี 1,1-diphenyl-2 picrylhydrazyl (DPPH) ซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ โดยผสมสารสกัดหยาบพอลิแซ็กคาไรด์กับน้ำกลั่นที่ความเข้มข้นตั้งแต่ 0.5, 1, 2, 3, และ 4 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร พบค่าเปอร์เซ็นต์การต้านอนุมูลอิสระ DPPH มีค่าเท่ากับ 72.13, 54,89, 38.62, 18.94 และ 13.51 ตามลำดับ และมีค่า EC50 เท่ากับ 2.67 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร[4]
- นอกจากนี้ยังนำมาทดสอบฤทธิ์การเพิ่มจำนวนเซลล์ของเซลล์สร้างเส้นใยที่มาจากเนื้อเยื่อเหงือก โดยใช้ระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันของสารสกัดหยาบพอลิแซ็กคาไรด์ แล้วจึงทดสอบด้วยสาร MTT assay พบว่า สารสกัดที่ระดับความเข้ม 0.01, 0.1, 1 และ 10 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ได้ โดยที่ระดับความเข้มข้น 0.1 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ได้สูงสุด[4]
ประโยชน์ของว่านคันทมาลา
- หัวใช้กินเป็นยาคงกระพันชาตรี โดยนิยมนำมาปลูกไว้ในบ้าน แล้วนำหัวมาเสกด้วยคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ คือ “นะโมพุทธายะ” 3 จบ แล้วนำมากิน จะช่วยให้คงกระพันชาตรี[1]
- ดอกของว่านคันทมาลามีกลีบดอกเรียงเป็นชั้น ๆ ดูสวยงามแปลกตา จึงนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[1]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่านคันทมาลา (คันฑมาลา)”. หน้า 711-712.
- หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ.
- สรรพคุณสมุนไพร. “สรรพคุณว่านคันทมาลา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : samumpri-thai.blogspot.com. [21 ส.ค. 2014].
- การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 47 วันที่ 17-20 มี.ค. 2552. (พลอยพัฒณ์ นิยมพลอย, พสุธา ธัญญะกิจไพศาล, พลกฤษณ์ แสงวณิช, อภิชาติ กาญจนทัต). “ฤทธิ์การต้านออกซิเดชันและการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเซลล์ของส่วนสกัดหยาบพอลิแซ็กคาไรด์จากเหง้าของว่านคันทมาลา Curcuma aromatica Salisb”. หน้า 154-161.
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Nelindah, Dawn in Phuket Thailand)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)