รอยตีนกา
รอยตีนกา หรือ ริ้วรอยหางตา (Crow’s feet) ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเรานั้นมักเกิดจากการแสดงสีหน้าและการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ซ้ำ ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะ การยิ้ม การพูดคุยระหว่างวัน รวมไปถึงความเครียด ก็ล้วนแต่เป็นสาเหตุทำให้ใบหน้าของเราเกิดริ้วรอยได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหางตาและช่วงระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง เพราะเมื่อนานวันเข้า ริ้วรอยเหล่านี้จะค่อย ๆ ชัดและลึกลงเรื่อย ๆ และคงอยู่ให้เห็นบนใบหน้า จนทำให้เจ้าของใบหน้ารู้สึกว่าตัวเองแก่ก่อนวัยอันควร ทำให้ขาดความมั่นใจ จนไม่กล้าที่จะแสดงออกทางสีหน้า แต่อย่าเพิ่งกังวลใจจนหัวเราะไม่ออก เพราะเดี๋ยวนี้มีวิธีลบรอยตีนกาที่เห็นผลได้อย่างชัดเจน เราไปดูกันเลยดีกว่าว่า จะมีวิธีไหนที่ช่วยป้องกันและรักษารอยตีนกาได้บ้าง ??
วิธีรักษารอยตีนกา
- ดูแลตัวเองก่อนเสมอ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันและรักษารอยตีนกาที่คุณไม่ควรละเลย ไม่ว่าจะเป็นการ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรืออาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเป็นประจำ ที่พบได้มากในผักและผลไม้ เช่น กล้วย มะเขือเทศ ส้ม ฯลฯ รวมไปถึงผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนสูงอย่างตำลึง ผักบุ้ง ฝรั่ง ฯลฯ ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวของคุณนั้นอ่อนเยาว์ขึ้นได้จากภายใน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผิวดูกระชับและเต่งตึง
- ทำอารมณ์และจิตใจให้รื่นเริงแจ่มใส แต่อย่ายิ้มหรือหัวเราะมากจนเกินไปล่ะ
- ไม่ขยี้ตาหรือถูตาบ่อย ๆ เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้
- หลีกเลี่ยงมลภาวะเป็นพิษต่าง ๆ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะถ้าผิวรอบดวงตาขาดความชุ่มชื้น ความแห้งกร้านและริ้วรอยเหี่ยวย่นก็จะมาถามหาคุณได้, ไม่สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่จะทำให้ผิวคล้ำเหลือง แห้งกร้าน อีกทั้งยังรบกวนกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ไม่ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ปัญหาเรื่องริ้วรอยลึกหรือรอยตีนกาทั้งหลาย
- ไม่นอนดึก เพราะการนอนดึกคือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย
- นอนหงายให้เป็นนิสัย ไม่นอนตะแคงหรือนอนคว่ำ เพราะจะทำให้ผิวหน้าเกิดรอยย่นได้
- ปกป้องดวงตาจากแสงแดด เพราะแสงแดดจะเป็นตัวขัดขวางการสร้างคอลลาเจนในผิว จนทำให้ผิวรอบดวงตาที่มีคอลลาเจนและอีลาสตินที่น้อยอยู่แล้วยิ่งแย่ไปใหญ่ ดังนั้นควรหันมาปกป้องดวงตาทุกครั้งก่อนการออกแดดด้วยการทาครีมกันแดดและสวมใส่แว่นกันแดดอยู่เสมอ รวมไปถึงการระวังแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่อาจสว่างมากเกินไปจนทำให้ต้องหรี่ตาทั้งวัน ถ้าไม่อยากให้ตีนกามาเยือน ก็ควรปรับแสงให้น้อยลงและเหมาะสม
- [Tie-in โฆษณา] เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่แก้ปัญหาริ้วรอยที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์และคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยลึกหรือรอยตีนกาตื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียนสม่ำเสมอมากขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลที่มีประสิทธิภาพสูงก็เช่น ProX by Olay (สูตร Dermatological Intensive Wrinkle Fading Serum) เซรั่มที่มีส่วนประกอบของ Pro-Retinol complex
- ส่วนประกอบของ Pro-Retinol complex ของ ProX มีประสิทธิภาพดีกว่า Pro-Retinol ทั่วไป 1.4 เท่า จึงช่วยตรงเข้าจัดการรอยตีนกาและริ้วรอยร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเรตินอลและ Pro-Retinol ทั่วไป
- ส่วนประกอบนี้ถูกคิดค้นและรับรองโดยแพทย์ผิวหนัง พร้อมทั้งผ่านการวิจัยในระดับ Genomics เป็นเวลามากกว่า 20 ปี จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกได้ตั้งแต่ที่ต้นเหตุ
- เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์นี้มีลักษณะเป็นเซรั่มน้ำนม บางเบา ซึมไว เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก และผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกแก้ยาก ได้ถึง 20% ใน 28 วัน
- สครับผิวซะบ้าง การสครับผิวเป็นวิธีการกำจัดเซลล์ผิวหนังที่อยู่ชั้นบนที่ตายแล้วออกไป จึงช่วยเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าให้ขึ้นมาแทนที่ รวมทั้งยังช่วยทำให้ริ้วรอยดูจางลงและตื้นขึ้นได้ด้วย
- ทำทรีตเมนต์ นอกจากการดูแลตัวเองแล้วการทำทรีตเมนต์ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน ถ้าคุณไม่ยุ่งมากจนเกินไปนักก็ขอให้ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งก็มีอยู่หลายสูตรด้วยกันครับ เช่น
- ออยล์หรือน้ำมัน ให้คุณเลือกใช้น้ำมันจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูสดใสเต่งตึง เช่น ใช้น้ำมันละหุ่งและน้ำมันงาอย่างละ 1 ช้อนชา นำมาผสมให้เข้ากัน แล้วใช้ส่วนผสมดังกล่าวนี้ลูบไล้ให้ทั่วใบหน้าก่อนเข้านอน
- อะโวคาโดและอัลมอนด์ ทั้งสองอย่างนี้จะอุดมไปด้วยน้ำมันที่สามารถช่วยบำรุงให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ โดยให้คุณใช้อัลมอนด์ป่น 3 ช้อนชา นำมาผสมกับเนื้ออะโวคาโดสุกครึ่งผล ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกบริเวณที่มีปัญหาริ้วรอยหรือรอยตีนกาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออก
- มันฝรั่ง ให้คุณใช้มันฝรั่ง ¼ ลูก นำมาผ่าครึ่งเป็น 2 ชิ้น พร้อมกับล้างบริเวณเปลือกตาด้วยน้ำสะอาดให้เปียก แล้วใช้มันฝรั่งประคบที่เปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด มันฝรั่งจะช่วยลดอาการบวมรอบดวงตา ทำให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยดูจางลง
- ผลไม้ตระกูลซิตรัส หรือกลุ่มผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้ โดยตัวอย่าง ให้คุณใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำส้ม 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำมาชโลมทิ้งไว้รอบดวงตาประมาณ 10 นาที แล้วจึงล้างออก หากทำเป็นประจำจะช่วยทำให้ริ้วรอยที่เป็นอยู่ดูจางลงได้
- ใบบัวบก สมุนไพรลดรอยตีนกา มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน วิธีนี้ให้คุณนำใบบัวบกสด ๆ มาคั้นหรือปั่นกรองเอาแต่น้ำ แล้วใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกที่ได้นำมาทาใต้ตาหรือทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ให้ทำทุกวันก่อนนอน
- แตงกวา ให้คุณใช้แตงกวาผลโตสักหน่อยนำมาหั่นเป็นแว่นบาง ๆ 2 แว่น แล้วนำมาปิดทับลงบนเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงค่อยนำแตงกวาออก โดยให้ทำอย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง ก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นขึ้น และริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลงได้
- ไข่ขาว ให้คุณใช้ไข่ขาว 1 ฟอง นำมาตีให้ฟู แล้วจุ่มสำลีลงไป หรือจะใช้นิ้วจุ่มไข่ขาวแล้วนำมาทารอบดวงตาให้ทั่วรวมถึงบริเวณโหนกแก้มใต้ตาด้วย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นชโลมหน้าด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดออกด้วยสำลีชุบน้ำเย็น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตาของคุณกระชับขึ้นแบบสุด ๆ เลยล่ะ
- ฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เป็นการฉีดยาเข้าไปในกล้ามเนื้อ เพื่อให้ยานั้นออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อและทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ผลที่ได้ตามมาก็คือรอยย่นบนผิวหนังซึ่งเกิดจากการดึงรั้งของกล้ามเนื้อนั้น จะค่อย ๆ จางหายไปภายหลังการฉีดประมาณ 2-3 วัน โดยยาจะออกฤทธิ์และให้ผลชัดเจนภายหลังการฉีดไปแล้ว 7 วัน แต่มีข้อเสียคือถ้าฉีดมากเกินไปเวลายิ้มจะทำให้หน้าดูแข็ง ๆ ขาดความเป็นธรรมชาติครับ และตัวยาออกฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อจะคงอยู่ได้ชั่วคราว จึงต้องทำการฉีดซ้ำทุก ๆ 6-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและคุณภาพของยาที่นำมาใช้ฉีดด้วยครับ ส่วนด้านล่างเป็นภาพก่อนและหลังการฉีดโบท็อกซ์ครับ
- การผ่าตัดรอยตีนกา การผ่าตัดจะใช้วิธีการฉีดยาชา โดยหลักการแล้วจะเป็นการผ่าเข้าไปดึงผิวหนังบริเวณตีนกาให้ตึงขึ้น และทำการตัดกล้ามเนื้อบริเวณหางตา ซึ่งเป็นสาเหตุของรอยตีนกา การลบรอยตีนกาด้วยการผ่าตัด เป็นวิธีที่สามารถช่วยลบเลือนริ้วรอยได้ในระยะยาวหลายปีโดยไม่ต้องทำการผ่าตัดบ่อย ๆ หลังจากผ่าตัดเสร็จจะมีอาการบวมเล็กน้อยที่บริเวณขมับ และจะมีแผลผ่าตัดที่บริเวณหนังศีรษะตรงขมับทั้ง 2 ข้าง ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร (เมื่อแผลหายแล้วจะไม่เห็นแผลเป็นครับ เพราะแผลจะถูกปิดไปด้วยเส้นผมนั่นเอง) เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณสามารถกลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล สามารถสระผมได้หลังการผ่าตัด 2 วัน แล้วแพทย์จะนัดตัดไหมหลังการผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน
- การผ่าตัดยกคิ้ว สำหรับคนที่มีปัญหามีรอยตีนกาและหนังตาหย่อนหรือหนังตาตกร่วมด้วย คุณอาจเลือกใช้วิธีการผ่าตัดยกคิ้วเลยก็ได้ เพราะหมอจะยกคิ้วขึ้นด้วยการผ่าที่บริเวณคิ้วส่วนปลายแผลยาวเพียง 1 เซนติเมตร เพื่อดึงชั้นใต้ผิวหนังเหนือคิ้วให้รั้งขึ้นไป จึงช่วยทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นตึงขึ้น รอยตีนกาที่เคยมีและหนังตาที่เคยตกก็จะเลือนหายไปได้อย่างถาวร เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัวเลยทีเดียว และหมอจะสามารถตัดไหมได้ในช่วง 7-10 วัน จากนั้นแผลก็จะค่อย ๆ หายสนิทภายใน 2 สัปดาห์ ร่องรอยการผ่าตัดเล็ก ๆ ก็จะถูกขนคิ้วบดบังไว้และไม่โผล่มาให้เห็นอย่างแน่นอนครับ
- เลเซอร์รักษารอยตีนกา จะเป็นการรักษาด้วยเลเซอร์ในกลุ่มที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน อย่าง Laser Resurfacing ที่มีอยู่หลายแบบด้วยกันตั้งแต่การใช้คาร์บอนไดออกไซด์ไปจนถึงเลเซอร์ เลเซอร์จะถูกส่งลงบนผิวหนังหลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งถึงผิวหนังชั้น Dermis โดยจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยย่นที่ลงลึกค่อย ๆ จางลง เห็นผลได้ดีกับริ้วรอยที่ไม่ลึกมากนัก แต่การทำเลเซอร์จะค่อนข้างเห็นผลช้าอย่างน้อยประมาณ 2-3 เดือน และจำเป็นต้องทำซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง ส่วนด้านล่างคือภาพก่อนและหลังทำเลเซอร์ 4 ครั้ง ระยะเวลา 6 เดือน ด้วย Fraxel laser ครับ
สรุป การรักษารอยตีนกาคุณจะต้องเริ่มจากการดูแลตัวเองให้ได้ก่อน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง บำรุงผิวรอบดวงตาด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ ทำทรีตเมนต์บ้างสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหารอยตีนกาตื้น ๆ ได้ครับ แต่ถ้าเป็นรอยตีนกาลึกก็ขอแนะนำให้ไปฉีดโบท็อกซ์จะดีกว่าครับ เพราะเห็นผลทันใจ ราคาไม่แพงมากนัก ถ้าอยากลบรอยตีนกาให้หายไปอย่างถาวรก็ลองปรึกษาแพทย์เรื่องการผ่าตัดดูครับ (โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยอยากแนะนำเท่าไรครับ เพราะมันดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ) ยังไงก็ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปฏิบัติและเลือกใช้กันดูนะครับ รับรองได้เลยว่าคุณจะมีผิวรอบดวงตาที่เต่งตึง แบบที่กาตัวไหนก็ไม่บินมาฝากรอยเท้าเอาไว้ได้อีกเลยล่ะ
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)