พลับพลึงดอกแดง
พลับพลึงแดง ชื่อสามัญ Giant lily, Crinum lily, Red crinum, Spider lily
พลับพลึงแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Crinum × amabile Donn หรือ Crinum × amabile Donn ex Ker Gawl. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Crinum × augustum Roxb.) จัดอยู่ในวงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE)[1],[2],[3],[4],[5]
สมุนไพรพลับพลึงแดง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า พลับพลึง, พลับพลึงดอกแดงสลับขาว, พลับพลึงใหญ่ดอกสีชมพู, พลับพลึงดอกแดง (กรุงเทพ, ภาคกลาง), ลิลัว (ภาคเหนือ) เป็นต้น[2],[4],[5],[6]
ลักษณะของพลับพลึงแดง
- ต้นพลับพลึงแดง เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา โดยจัดเป็นไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นมีหัวอยู่ใต้ดิน ส่วนที่อยู่เหนือดินขึ้นไปประกอบไปด้วยกาบใบสีขาวหุ้มซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อออกไปปลูกหรือใช้วิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือในพื้นที่ที่มีความชื้นค่อนข้างสูง เช่น หนอง บึง ริมคลอง เป็นต้น สามารถอดทนต่อสภาพแวดล้อมได้โดยไม่ต้องการดูแลเอาใจใส่มากนัก แต่ถ้าต้องการให้มีดอกมากให้ปลูกในพื้นที่กลางแจ้ง แต่ถ้าต้องการให้ใบสวยให้ปลูกในที่ที่มีแสงแดดรำไร (หัวมีสาร Alkaloid Narcissine)[1],[2],[5]
- ใบพลับพลึงแดง ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงซ้อนสลับกันเป็นวง ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบเป็นกาบซึ่งทำหน้าที่เป็นก้านใบห่อหุ้มเป็นเปลือกของลำต้นอยู่ ส่วนขอบใบเรียบไม่มีจัก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 7-15 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1 เมตร ใบเป็นสีเขียว ผิวใบอ่อนนุ่ม อวบน้ำ หนา และเหนียว[1],[2]
- ดอกพลับพลึงแดง ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ ก้านดอกแทงขึ้นออกมาจากกลุ่มของใบตอนปลาย ในหนึ่งช่อดอกจะมีดอกย่อยออกอยู่เป็นกระจุกประมาณ 12-40 ดอก (ช่อดอกของพลับพลึงแดงจะมีขนาดใหญ่กว่าพลับพลึงขาว) ดอกพลับพลึงแดงกลีบดอกจะมีสีขาวแกมชมพู หรือกลีบด้านบนของดอกเป็นสีม่วงหรือเป็นสีชมพู ส่วนกลีบด้านล่างเป็นสีแดงเข้มหรือสีแดงเลือดหมู ลักษณะของกลีบดอกจะแคบเรียวยาว เมื่อดอกบานเต็มที่ กลีบของดอกจะงองุ้มเข้าหาก้านดอก ดอกมีเกสรยาวยื่นออกมาจากกลางดอก ดอกมีกลิ่นหอมและจะหอมมากในช่วงพลบคล่ำ สามารถออกดอกได้ปีละครั้ง โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนตุลาคม บ้างว่าสามารถออกดอกได้ตลอดปี และจะออกมากในช่วงฤดูฝน[1],[2],[5]
- ผลพลับพลึงแดง ผลเป็นผลสดสีเขียว ลักษณะของผลค่อนข้างกลม และเมล็ดมีลักษณะกลม[1],[4]
สรรพคุณของพลับพลึงแดง
- สารสกัดจากใบมีฤทธิ์ช่วยต้านการเจริญเติบโตของเนื้องอก (ใบ)[1]
- หัวมีรสขม ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (หัว)[2]
- เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย (เมล็ด)[2],[3],[4]
- ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการใช้ใบพลับพลึงเพียงอย่างเดียว หรือใช้ร่วมกับชนิดอื่น ๆ (ใบ)[2]
- จะใช้ใบพลับพลึงอย่างเดียวหรือจะใช้ร่วมกับชนิดอื่น ๆ แล้วนำไปตำเพื่อปิดบริเวณที่มีอาการปวด เพื่อใช้รักษาอาการปวดศีรษะ (ใบ)[2]
- ช่วยขับเสมหะ (หัว)[2],[3],[4]
- ใบมีรสเอียน เมื่อนำไปต้มรับประทานจะทำให้อาเจียน หรือจะใช้รากนำมาเคี้ยวจนแหลกเป็นน้ำ แล้วกลืนเอาแต่น้ำเข้าไปก็มีสรรพคุณทำให้อาเจียน ส่วนหัวพลับพลึงแดงก็ทำให้คลื่นเหียน อาเจียน ได้เช่นเดียวกัน (หัว, ใบ, ราก)[2],[3]
- ใช้เป็นยาระบาย (หัว, เมล็ด)[2],[3],[4]
- หัวใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปัสสาวะ (หัว)[2]
- ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด)[2],[3],[4]
- ช่วยขับเลือดประจำเดือนของสตรี (เมล็ด)[2]
- หัวใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับน้ำดี (หัว)[2],[3],[4]
- ใบสดนำมาลนไฟเพื่อให้อ่อนตัวลง ใช้ประคบหรือพันรักษาแก้อาการเคล็ดขัดยอก แพลง อาการบวม ฟกช้ำบวม จะช่วยในการถอนพิษได้ดี (ใบ)[1],[2],[3],[4]
- รากใช้ตำพอกแผล (ราก)[2]
- รากใช้เป็นยารักษาพิษยางน่อง (ราก)[2]
- ใช้อยู่ไฟหลังคลอดสำหรับสตรี (ใบ)[3],[4]
- สารสกัดจากใบมีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย (ใบ)[1]
- ใบและหัวของพลับพลึง มีสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ที่มีชื่อว่า “Lycorine” ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยต้านไวรัสที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคโปลิโอและโรคหัด แต่สารชนิดนี้จะมีความเป็นพิษสูง และยังต้องมีการทดลองกันต่อไป (ใบ, หัว)[1]
ประโยชน์ของพลับพลึงแดง
- ใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับเพื่อความสวยงามได้เช่นเดียวกับพลับพึงดอกขาว เนื่องจากดอกมีความสวยงามและขนาดใหญ่ อีกทั้งยังให้กลิ่นหอมมากเป็นพิเศษในช่วงเวลาพลบค่ำ
พิษของพลับพลึงแดง
- พลับพลึงมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร (เข้าใจว่าส่วนหัว) โดยหัวของพลับพลึงมีพิษในกลุ่มอัลคาลอยด์ที่มีชื่อว่า “Lycorine” โดยอาการที่เป็นพิษได้แก่ มีอาการอาเจียน ตัวสั่น เหงื่อออก มีน้ำลายมาก และมีอาการท้องเดินแบบไม่รุนแรง แต่ถ้าหากมีอาการมากอาจจะเกิด Paralysis และ Collapse[6]
วิธีการรักษาพิษจากพลับพลึงแดง
- ให้ดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ เพื่อทำให้สารพิษเจือจาง[6]
- ทำให้อาเจียนออกมา[6]
- ให้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างออก เพื่อเอาชิ้นส่วนของพืชพลับพลึงออกให้หมด[6]
- รับประทานยารักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน เพื่อช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายมากเกินไป[6]
- ควรให้น้ำเกลือจนกว่าจะมีอาการดีขึ้น[6]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “พลับพลึงดอกแดง”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 91.
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. “พลับพลึงดอกแดง (กรุงเทพฯ)”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 144.
- โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์. “พลับพลึงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.shc.ac.th. [22 ม.ค. 2014].
- หนังสือไม้ดอกหอม เล่ม 1. “พลับพลึงดอกแดง (กรุงเทพฯ)”. (ปิยะ เฉลิมกลิ่น). หน้า 147.
- ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “พลับพลึงใหญ่ดอกสีชมพู”. (นพพล เกตุประสาท). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th . [22 ม.ค. 2014].
- สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “พลับพลึงดอกแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [22 ม.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Mauricio Mercadante, guzhengman, m.kaeru, Toni Corelli, LeahRR, BEARTOMCAT (Bear) Net Connection Erratic)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)