ผักเบี้ยหิน สรรพคุณและประโยชน์ของผักเบี้ยหิน 16 ข้อ !

ผักเบี้ยหิน สรรพคุณและประโยชน์ของผักเบี้ยหิน 16 ข้อ !

ผักเบี้ยหิน

ผักเบี้ยหิน ชื่อวิทยาศาสตร์ Trianthema portulacastrum L. จัดอยู่ในวงศ์ผักเบี้ยทะเล (AIZOACEAE)[1]

สมุนไพรผักเบี้ยหิน มีชื่อเรียกอื่นว่า ผักโขมหิน, ผักขมหิน[1]

ลักษณะของผักเบี้ยหิน

  • ต้นผักเบี้ยหิน จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกฤดูกาลเดียว ลำต้นมีลักษณะทอดเลื้อยแผ่ราบปกคลุมดินยาวได้ถึง 1 เมตร หรือมีลักษณะตั้งตรงบ้าง ลำต้นมีลักษณะกลมสดอวบน้ำหรือค่อนข้างเป็นเหลี่ยม ผิวเรียบเกลี้ยงเป็นมัน สีเขียวอมม่วงหรือสีม่วงอมแดงอ่อน ๆ ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ตามกิ่งอ่อนและตามข้อจะมีขนขึ้นปกคุมเล็กน้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัดเต็มวัน มีความชื้นปานกลาง พบในข้าวไร่และนาดอนพื้นที่นาน้ำฝน[1],[3]

ต้นผักเบี้ยหิน

รูปผักเบี้ยหิน

  • ใบผักเบี้ยหิน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปไข่กลับ รูปกลม หรือรูปหัวใจ ปลายใบมนเว้า โคนใบแหลมหรือมน ส่วนขอบใบเรียบ ริมขอบใบเป็นสีม่วง แต่ละใบมีขนาดไม่เท่ากัน โดยมีขนาดกว้างประมาณ 1-4.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.5-5 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียว ผิวใบเรียบหรือมีขนเล็กน้อย ก้านใบยาวได้ประมาณ 5-12 มิลลิเมตร ก้านใบมีลักษณะเป็นร่องเล็ก ๆ ด้านบน ใบอ่อนและยอดอ่อนมีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย[1],[3]

ใบผักเบี้ยหิน

  • ดอกผักเบี้ยหิน ออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบ ด้านซ้ายหรือด้านขวาสลับกันในแต่ละข้อ ดอกจะฝังตัวในหลอดกลีบที่เชื่อมติด กับโคนก้านใบในซอกใบ ไม่มีก้านดอก เมื่อดอกบานจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 มิลลิเมตร ข้าง ๆ หลอดกลีบจะมีใบประดับสีม่วงแกมเขียว 2 อัน ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีขนาดกว้างประมาณ 1-2.5 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร หลอดกลีบเป็นสีม่วงแกมเขียวติดกันเป็นรูปถ้วย ยาวประมาณ 1-1.5 มิลิเมตร ไม่ร่วง กลีบดอกเป็นสีชมพูอ่อนหรือสีชมพูแกมขาว แยกจากกัน มี 5 กลีบ กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานปลายแหลม ตอนปลายกลีบเป็นติ่งแหลมสีม่วง กลีบดอกมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ติดอยู่บนกลีบดอก ก้านชูอับเรณูเป็นสีขาวยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร อับเรณูเป็นสีชมพู เกสรเพศเมียมี 1 อัน รังไข่ superior ovary มีก้านเกสรเพศเมียยาว 3 มิลลิเมตร ยอดเกสรเป็นเส้น รังไข่เป็นรูปทรงกระบอกมี 1 ห้อง ออวุลมี 2-8 อัน ออกดอกได้ตลอดทั้งปี[1],[3]

ดอกผักเบี้ยหิน

  • ผลผักเบี้ยหิน ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปถ้วย ส่วนโคนของฝักจะอยู่ตามซอกใบ ฝักมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร เปลือกเหนียว ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีแดง แห้งแล้วจะแตก ภายในมีเมล็ดสีดำประมาณ 3-4 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไต ผิวเมล็ดมีลักษณะขรุขระเล็กน้อย เมล็ดมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 0.8-2 มิลลิเมตร[1],[3]

ผลผักเบี้ยหิน

สรรพคุณของผักเบี้ยหิน

  1. ตำรายาไทยจะใช้ทั้งต้นเป็นยาบำรุงโลหิต (ทั้งต้น)[1]
  2. รากมีสรรพคุณช่วยเจริญธาตุไฟ (ราก)[1]
  3. ช่วยแก้ลมอัณฑพฤกษ์ (ราก)[1]
  4. รากใช้เป็นยาขับเสมหะ (ราก)[1]
  5. ช่วยแก้อาการเจ็บ แก้เหงือกบวม (ใบ)[3]
  1. ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาขับลม (ทั้งต้น)[1]
  2. ช่วยแก้โรคท้องมาร เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (ทั้งต้น)[1]
  3. รากมีสรรพคุณเป็นยาถ่าย (ราก)[4]
  4. ในประเทศอินเดียจะใช้ทั้งต้นปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ (ทั้งต้น)[1]
  5. ช่วยขับระดูขาวของสตรี (ใบ)[3]
  6. รากใช้เป็นยาช่วยทำให้ประจำเดือนของสตรีมาเป็นปกติ แต่ถ้าใช้มากเกินไปจะทำให้แท้งบุตรได้ (ราก)[4]
  7. ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร (ราก)[1]
  8. ใช้รักษาโรคไต (ทั้งต้น)[1]
  9. ใบใช้เป็นยาทาภายนอกแก้แผลอักเสบ (ใบ)[3]
  10. ทั้งต้นใช้เป็นยาแก้ฟกบวม (ทั้งต้น)[1]

ข้อควรระวัง : สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ เพราะอาจทำให้แท้งบุตรได้[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของผักเบี้ยหิน

  • จากการศึกษาฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของผักเบี้ยหินกับหนูทดลอง โดยแบ่งหนูแรทที่ถูกกระตุ้นให้เป็นเบาหวานด้วย streptozotocin ออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัว แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม กลุ่มที่รักษาด้วยยามาตรฐานซึ่งใช้ลดน้ำตาลในเลือด (glibenclamide) ในขนาด 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนอีก 2 กลุ่มให้สารสกัดเมทานอลของผักเบี้ยหิน ขนาด 100 และ 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ผลการทดลองพบว่าสารสกัดเมทานอลของผักเบี้ยหินสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูแรทได้อย่างมีนัยสำคัญหลังกินเข้าไป 1 ชั่วโมง และจะออกฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลได้ดีที่สุดหลังกินเข้าไป 4 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าสารดังกล่าวมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป็นเบาหวานได้เทียบเท่ากับการรักษาโดยใช้ยามาตรฐานที่ใช้ลดน้ำตาลในเลือด (glibenclamide)[2]

ประโยชน์ของผักเบี้ยหิน

  • ใช้ปรุงเป็นอาหารหรือรับประทานสด[3]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “ผักโขมหิน”.  หน้า 474-475.
  2. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ผักเบี้ยหิน (Trianthema portulacastrum  ) ช่วยลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่เป็นเบาหวาน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th.   [20 พ.ย. 2014].
  3. คมชัดลึกออนไลน์.  (นายสวีสอง).  “ผักเบี้ยหิน แก้เจ็บคอ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.komchadluek.net.  [20 พ.ย. 2014].
  4. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน).  “ผักเบี้ยหิน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bedo.or.th.  [20 พ.ย. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Phuong Tran, Forest and Kim Starr, Russell Cumming, CANTIQ UNIQUE, CoolKatie, Barry Hammel)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด