ปวดประจําเดือน
ปวดประจำเดือน, ปวดท้องประจำเดือน, เจ็บท้องประจำเดือน หรือ ปวดท้องเมนส์ (Dysmenorrhea) คือ อาการปวดท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกรานในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตามรอบของการมีประจำเดือน (โดยปกติจะห่างกันทุก 28 วัน แต่บางคนก็มาเร็วหรือช้ากว่านี้) การปวดประจำเดือนนี้ส่วนใหญ่พบได้ในผู้หญิงวัยมีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดไม่มากและยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่มีส่วนน้อยที่อาจปวดรุนแรงจนต้องพักงาน โดยอาการปวดประจำเดือนนั้นแบ่งออกได้เป็น ชนิดปฐมภูมิ (ไม่ทราบสาเหตุ) ซึ่งพบได้เป็นส่วนมาก กับชนิดทุติยภูมิ (มีสาเหตุ) ซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อย
ในช่วงหนึ่งของชีวิตผู้หญิงที่มีประจำเดือน มีผู้หญิงจำนวนน้อยมากที่ไม่มีอาการปวดประจำเดือนเลยซึ่งนับว่าเป็นโชคดีมาก เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่โดยเฉพาะวัยรุ่นจำนวนมากถึง 90% จะมีอาการปวดประจำเดือนมากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป และมีผู้หญิงอีกประมาณ 5-10% ที่จะมีอาการปวดประจำเดือนมากจนทำให้ต้องพักงานหรือขาดเรียนอยู่เสมอในช่วงที่มีประจำเดือน ทำให้เสียโอกาสในการทำงานและการเรียนรู้ และยังอาจมีผลกระทบต่อจิตใจหรือความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวซึ่งประเมินเป็นมูลค่าทางการเงินไม่ได้อีกด้วย
จากการศึกษาพบว่า อายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนครั้งแรกของเด็กผู้หญิงไทยจะอยู่ที่ประมาณ 12 ปี 7 เดือน เด็กผู้หญิงทางภาคเหนือจะมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนเร็วกว่าภาคอื่น ๆ ส่วนเด็กทางภาคใต้จะมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนช้ากว่าภาคอื่น ๆ โดยช่วง 1-2 ปีแรกที่เริ่มมีประจำเดือน จะมาแบบไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากการทำงานของรังไข่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ จึงทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ
สาเหตุการปวดท้องประจําเดือน
เมื่อมีอาการปวดประจำเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นอาการปกติของการมีประจำเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความจริงและก็มีที่ไม่จริงบ้าง โดยทั่วไปอาการปวดประจำเดือนจะเกิดจากมดลูกหดรัดตัวทำให้เกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย แต่หากมีอาการปวดมากจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือทำให้ต้องพักงาน แบบนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป เพราะสาเหตุที่ทำให้มีอาการปวดท้องประจำเดือนนั้นมีหลายสาเหตุ ซึ่งการรักษาบางครั้งอาจต้องถึงขั้นผ่าตัดเลยทีเดียว
สาเหตุของการปวดประจำเดือนจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
- ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) เป็นการปวดประจำเดือนที่แพทย์ตรวจไม่พบพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานหรือท้องน้อยที่ชัดเจน โดยจะไม่มีความผิดปกติของมดลูกและรังไข่แต่อย่างใด ในปัจจุบันเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างการมีประจำเดือน และมาจากการมีสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกมากผิดปกติ และสารชนิดนี้จะดูดซึมผ่านกระแสเลือดและมาออกฤทธิ์ที่มดลูก จึงทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัวและเกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย การปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมินี้มักพบได้ในเด็กสาวหรือผู้หญิงวัยรุ่น ส่วนมากจะเริ่มมีอาการตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก หรือไม่ก็เกิดขึ้นภายในช่วง 2-3 ปีหลังจากการมีประจำเดือนครั้งแรก โดยจะมีอาการมากที่สุดในช่วงอายุ 15-25 ปี หลังจากวัยนี้ไปอาการจะค่อย ๆ ลดลง บางรายอาจหายปวดหลังแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการมีลูกแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่ยังอาจมีอาการตลอดไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน
- ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) เป็นการปวดประจำเดือนที่แพทย์ตรวจพบพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย ลักษณะการปวดจะมีอาการปวดก่อนมีเลือดประจำเดือนมาและยังปวดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าประจำเดือนจะหยุดหรือหลังประจำเดือนหยุด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดครั้งแรกเมื่อมีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเลย การปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมินี้ มักเกิดจากความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น
- การมีเนื้องอกมดลูก โดยเฉพาะในโพรงมดลูก มดลูกจึงมีการบีบตัวเพื่อขจัดสิ่งขัดขวางการหดรัดตัวในโพรงมดลูกออก จึงทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อย ๆ
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ หรือ เยื่อบุโพรงมดลูกต่างที่ (Endometriosis) โดยเยื่อโพรงบุมดลูกจะหลุดออกมาจากท่อรังไข่ย้อนเข้ามาเจริญที่เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ บริเวณอุ้งเชิงกราน หรือลำไส้ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนในร่างกายที่หลั่งออกมาจากรังไข่เช่นเดียวกับเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นในขณะที่มีประจำเดือนจะทำให้มีเลือดออกในช่องท้องด้วย จึงทำให้เกิดการระคายเคืองที่เยื่อบุช่องท้อง ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งในรายที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเป็นประจำ มักมาจากสาเหตุนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีบุตรยาก
- การมีพังผืดในช่องท้อง (Pelvic adhesion) พังผืดเกิดจากการผ่าตัดครั้งก่อน หรือจากการที่เคยมีการอักเสบในอุ้งเชิงกรานมาก่อน (ที่ไม่ใช่จากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่) จะทำให้เกิดการดึงรั้งของพังผืดกับเยื่อบุช่องท้องหรือเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดขึ้นมา ส่วนมากผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังมากกว่าที่จะปวดตามรอบของประจำเดือน
- การใส่ห่วงอนามัย หรือ ห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine device birth control) จะทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนได้เช่นกัน เนื่องจากร่างกายพยายามบีบตัวเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป
- สาเหตุอื่น ๆ เช่น มดลูกย้อยไปด้านหลังมาก, ปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ปวดประจำเดือน
- การมีประจำเดือนเร็ว มีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุน้อยกว่า 12 ปี
- การไม่มีบุตร ทำให้รังไข่ต้องทำงานตลอดเวลาและมีรอบประจำเดือนมากกว่าคนที่มีลูก ซึ่งจะได้หยุดพักการมีประจำเดือนไปในช่วงตั้งครรภ์ไปจนถึงหลังคลอดอีกสักระยะหนึ่ง
- ประจำเดือนมามากและนาน
- การใส่ห่วงอนามัย
- การสูบบุหรี่
- ความอ้วน
- การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์)
- การมีเนื้องอกมดลูก
อาการปวดประจำเดือน
อาการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (ชนิดที่พบได้บ่อย) จะเริ่มมีอาการปวดท้องน้อยก่อนมีประจำเดือนไม่กี่ชั่วโมง (ก่อนที่เลือดประจำเดือนจะออกมา) หรือปวดพร้อมกับการมีประจำเดือนออกมา และการปวดเป็นอยู่ตลอดช่วง 2-3 วันแรกของประจำเดือน โดยจะมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ ที่บริเวณท้องน้อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ใจคอหงุดหงิด หรือมีอาการปวดหลังร่วมด้วย ถ้ามีอาการปวดรุนแรงอาจทำให้มีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็นได้
อาการปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (ชนิดที่พบได้น้อย) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดจนกว่าเลือดประจำเดือนจะหยุดหรือหลังประจำเดือนหยุด ประจำเดือนออกมาก อาจมีภาวะมีบุตรยาก อาจมีภาวะเจ็บลึก ๆ ในอุ้งเชิงกรานในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ และมักมีประวัติตกขาวและการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
นอกจากนี้ยังเชื่อว่า อารมณ์มีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจำเดือนทั้ง 2 ชนิด โดยพบว่าผู้ที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายหรือมีความเครียดจะมีอาการปวดรุนแรงมากกว่าผู้ที่อารมณ์ดี
ภาวะแทรกซ้อนของการปวดประจำเดือน
- ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- ในรายที่เกิดจากเนื้องอกมดลูก อาจทำให้ตกเลือดมากจนเกิดภาวะซีด หรือถ้าก้อนโตมากอาจไปกดทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ
- ในรายที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ อาจทำให้มีบุตรยาก
การวินิจฉัยอาการปวดประจำเดือน
แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากอาการปวดท้องน้อยในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งเป็นอยู่ประจำทุกเดือน โดยไม่มีไข้ กดถูกไม่เจ็บ ส่วนในกรณีที่สงสัยว่าเป็นการปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ แพทย์อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ การใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง เป็นต้น
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องน้อย อาจมาจากสาเหตุอื่นที่บังเอิญมาเกิดอาการพร้อมกับการมีประจำเดือนก็ได้ เช่น
- ไส้ติ่งอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวาติดต่อกันนานกว่า 6 ชั่วโมง เดินกระเทือนถูกหรือกดบริเวณนั้นจะรู้สึกเจ็บปวด (เป็นอาการที่ไม่พบในอาการปวดประจำเดือน) และมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
- นิ่วท่อไต ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบิดเกร็งตรงบริเวณท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่ง และมักมีอาการปวดร้าวลงมาที่ช่องคลอดข้างเดียวกัน โดยไม่มีอาการไข้และกดถูกไม่เจ็บ
- ปีกมดลูกอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและกดเจ็บตรงบริเวณท้องน้อยร่วมกับมีอาการไข้สูงหรือตกขาวร่วมด้วย ซึ่งอาการปวดประจำเดือนจะไม่มีไข้
ดังนั้น ผู้ที่เคยมีอาการปวดประจำเดือนมาก่อน หากมีอาการปวดท้องน้อยที่มีลักษณะไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมา เช่น ปวดรุนแรงหรือปวดติดต่อกันเป็นเวลานานกว่าปกติ กดถูกหรือกระเทือนถูกแล้วรู้สึกเจ็บ มีไข้ขึ้นหรือมีอาการตกขาวร่วมด้วย ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด เพราะอาการที่ปวดนั้นอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ก็ได้
วิธีแก้ปวดประจำเดือน
- การดูแลตนเองในเบื้องต้นเมื่อมีอาการปวดประจำเดือน โดยไม่ต้องพึ่งยาเพื่อช่วยลดอาการปวดหรือลดความทรมานสามารถทำได้โดยการ
- การประคบอุ่นที่ท้องน้อยด้วยกระเป๋าน้ำร้อน เพราะความร้อนจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงอยู่ผ่อนคลายลงและช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ เมื่อมีอาการปวดจึงแนะนำให้ใช้กระเป๋าน้ำร้อนมาประคบวางไว้บนท้องน้อยทิ้งไว้สักครู่ (ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรใช้กระเป๋าน้ำร้อน 2 ใบ เพื่อใช้สำหรับประคบที่หน้าท้องและประคบที่บริเวณหลังส่วนล่าง และที่สำคัญการใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือแผ่นความร้อนอื่น ๆ ก็ควรใช้อย่างระมัดระวังด้วย เพราะอาจทำให้โดนลวกได้)
- การอาบน้ำอุ่น การแช่น้ำอุ่นในอ่างเป็นการรักษาด้วยความร้อนอีกวิธีที่สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ โดยเชื่อว่าการแช่น้ำอุ่นจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จึงทำให้อาการเจ็บปวดลดลง คุณอาจใส่ดีเกลือสัก 1-2 ถ้วยลงในอ่าง (เกลือชนิดนี้จะมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งการขาดแมกนีเซียมอาจเป็นสาเหตุของการปวดประจำเดือน) แล้วแช่ตัวในอ่างอย่างน้อย 30 นาที หรือใส่เกลือสมุทร 1 ถ้วย และผงฟูอีก 1 ถ้วยลงในอ่าง ซึ่งส่วนผสมดังกล่าวจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้ดีขึ้น แล้วให้แช่ตัวในอ่างอย่างน้อย 30 นาทีเช่นกัน (ถ้าไม่มีอ่างอาบน้ำ การอาบน้ำอุ่นจากฝักบัวก็ช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดได้เหมือนกัน)
- ยกขาข้างหนึ่งหรือสองข้างให้อยู่สูงกว่าลำตัวด้วยหมอน เพราะท่านี้จะเป็นการบังคับให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัวลงได้ และถ้าจะให้ได้ผลดีควรใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบที่หน้าท้องร่วมกันไปด้วย
- การนอนขดตัว เป็นท่าที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อท้อง จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดประจำเดือนลงได้ แต่มีคำแนะนำว่าไม่ควรนอนขดตัวเป็นเวลานาน คุณต้องลุกเดินไปเดินมาบ้าง แค่นิด ๆ หน่อย ๆ และอย่าออกกำลังมากเกินไปในขณะที่มีอาการปวด นอกจากนี้การกำหนดลมหายใจเข้าออกยังสามารถช่วยลดความเจ็บปวดลงได้เช่นกัน (หายใจเข้าช้า ๆ ทางจมูก และค่อย ๆ หายใจออกทางปาก)
- นอนตะแคงไปทางด้านซ้าย เพราะจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนและอาการปวดอื่น ๆ บริเวณหน้าท้องได้ดีกว่าการนอนตะแคงขวา
- การนวดหน้าท้อง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการท้องได้ โดยให้นวดเป็นวงกลมอย่างแผ่วเบาและออกแรงกดเบา ๆ ที่บริเวณท้องสัก 10 วินาทีต่อครั้ง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณท้องผ่อนคลาย จึงเป็นการช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดและความตึงเครียดลงได้
- การฝังเข็ม เนื่องจากการฝังเข็มจะมีฤทธิ์ปรับการทำงานของฮอร์โมนเพศภายในร่างกายให้กลับสู่สภาพสมดุล ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีมดลูกและรังไข่อยู่ภายในให้ไหลเวียนดีขึ้น ลดการคั่งของเลือด และทำให้กล้ามเนื้อผนังมดลูกและรังไข่คลายตัว จึงช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ โดยแพทย์จะใช้เข็มเล็ก ๆ ปักกระตุ้นตรงจุดรับสัญญาณประสาทบริเวณแขนขาและท้องน้อย เพื่อกระตุ้นประมาณ 30 นาที โดยทั่วไปจะทำการรักษาในช่วงก่อนการมีประจำเดือนประมาณ 2 สัปดาห์ และกระตุ้นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อยับยั้งมิให้เกิดอาการปวดหรือบรรเทาอาการไม่ให้รุนแรง
- การเล่นโยคะ เนื่องจากการเล่นโยคะจะช่วยยืดกล้ามเนื้อตามการบริหารในส่วนที่มีอาการปวด เมื่อเกิดความยืดหยุ่นจึงทำให้อาการปวดท้องลดลง โดยท่าโยคะที่แนะนำมี 3 ท่าหลัก ๆ คือ ท่าเด็ก Balasana (Child’s Pose) เป็นท่าระดับง่าย, ท่าธนู Dhanurasana (Bow Pose) เป็นท่าระดับปานกลาง, และท่าอูฐ Ustrasana (Camel Pose) ซึ่งเป็นท่าระดับยาก (ส่วนวิธีการเล่นของแต่ละท่า แนะนำว่าเอาชื่อไปค้นใน Youtube ได้เลยครับ เพราะจะละเอียดและเข้าใจได้ง่ายกว่าอธิบายเป็นคำพูด)
- การเดินไปมา เป็นวิธีบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ง่ายและได้ผลดีสำหรับอาการปวดประจำเดือน เพื่อให้ผลที่ดีที่สุด ให้เดินเร็ว ๆ สัก 30 วินาที อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง เพราะการเดินจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเบต้า-เอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารระงับความเจ็บปวดออกมา
- หมั่นออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น การวิ่งจ๊อกกิ้ง, ขี่จักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้นรำ, การเล่นกีฬาที่ต้องวิ่ง (เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล), ซิตอัพ เป็นต้น เนื่องจากความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายนี่จะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหน้าที่อย่างหนึ่งของตับคือช่วยรักษาความสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน การดื่มน้ำจึงช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนลงได้
- รับประทานผักและผลไม้ให้มาก ๆ ฮอร์โมนส่วนเกินของร่างกาย (ที่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล) สามารถขจัดได้ผ่านลำไส้ ซึ่งการรับประทานผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์มาก ๆ จะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยทำให้ฮอร์โมนส่วนเกินถูกกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น
- รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม (เช่น ผักโขม ผักปวยเล้ง), อาหารจำพวกปลาและหอย, กล้วย, มะเดื่อฝรั่ง, ธัญพืชไม่ผ่านการขัดสี, ถั่วอัลมอนด์, เต้าหู้สด, ถั่วอัลมอนด์, ถั่วต้ม, ถั่วลิสง, มะม่วงหิมพานต์ ฯลฯ เพราะแมกนีเซียมสามารถช่วยลดสารพรอสตาแกลนดินที่ถูกหลั่งออกมาในช่วงมีประจำเดือนได้ จึงมีผลช่วยลดอาการปวดประจำเดือน นอกจากนี้แมกนีเซียมยังช่วยบรรเทาอาการปวดก่อนมีประจำเดือน (PMS) ได้อีกด้วย
- รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม เช่น กล้วย, ถั่วขาว (เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิมา), ผักใบเขียว (เช่น ผักโขม ผักคะน้า), ผลไม้แห้งบางอย่าง (เช่น แอพริคอต ลูกพรุน ลูกเกด), ปลาบางชนิด (เช่น แซลมอน ทูน่า) เป็นต้น เพราะโพแทสเซียมอาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากการขาดโพแทสเซียม
- ทานกากน้ำตาลหนึ่งช้อนชา กากน้ำตาลเป็นน้ำเชื่อมที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่ได้มาจากการตกผลึกน้ำตาล ซึ่งน้ำเชื่อมข้นเกรดนี้จะมีปริมาณแคลเซียม ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส วิตามินบี 6 และซีลีเนียม ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยลดอาการปวด โดยการลดขนาดลิ่มเลือด คลายกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูระดับสารอาหารของระบบในร่างกาย
- ดื่มชาคาโมไมล์ สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ เนื่องจากคาโมไมล์มีไกลซีนซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่สามารถบรรเทาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งได้ ด้วยความสามารถในการทำให้มดลูกคลายตัว จึงช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากประจำเดือนได้
- ดื่มชาร้อน ๆ ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย และนวดบริเวณที่ปวด เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการปวดได้
- เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับคนเล่นกีฬา (เช่น เกเตอเรด) เครื่องดื่มเกลือแร่จะมีอิเลคโตรไลท์ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดทั่วไปได้ แม้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเครื่องดื่มประเภทนี้จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ แต่ก็ไม่มีผลเสียอะไรถ้าจะลองดื่มดู
- หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด มันจัด และอาหารขยะ (Junk Food) เพราะจะทำให้ร่างกายผลิตสารพลอสตาแกลนดินออกมามากเกินไป จึงทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัวและเกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โคล่า น้ำอัดลม หรือช็อกโกแลต โดยเฉพาะในช่วงก่อนและระหว่างที่ประจำเดือนมา เพราะปริมาณกาเฟอีนที่มากไปสามารถทำให้อาการปวดประจำเดือนแย่ลงได้
- อาหารเสริมช่วยได้ ก่อนหาซื้อมารับประทานควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะอาหารเสริมบางชนิดอาจทำปฏิกิริยาต่อกันหรือทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้อยู่เดิมและส่งผลเสียต่อร่างกายได้
- แคลเซียมซิเทรต ในขนาดวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม จะช่วยรักษาความตึงตัวของกล้ามเนื้อได้
- วิตามินอี ในขนาดวันละ 500 ไอยู อาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้
- แมกนีเซียม ในขนาดวันละ 360 มิลลิกรัม โดยให้รับประทาน 3 วัน ก่อนที่ประจำเดือนมา ซึ่งแมกนีเซียมจะช่วยลดสารพรอสตาแกลนดินที่ถูกหลั่งออกมาในช่วงมีประจำเดือนได้
- กรดโอเมก้า 3 การรับประทานทุกวันเป็นอาหารเสริมอาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะมีงานวิจัยที่ระบุว่า ผู้หญิงที่ทานน้ำมันปลาทุกวันจะมีอาการปวดประจำเดือนน้อยกว่ากลุ่มที่ทานยาหลอก
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงก่อนประจำเดือนจะมา การปวดประจำเดือนอาจป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนที่ประจำเดือนจะมา เช่น ความเครียด การนิ่งเฉื่อยไร้กิจกรรม แอลกอฮอล์ กาเฟอีน บุหรี่ หรือสารกระตุ้นต่าง ๆ
- ไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดช่วงเอวแน่น เช่น กางเกงยืดรัดรูป ยีนส์ขาเดฟ ยีนส์เอวสูง แต่ให้เปลี่ยนมาใส่แค่กางเกงขาสั้นขนาดพอดีตัวที่หลวมสักหน่อยหรือกางเกงวอร์มก็พอ
- รักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกสร้างมาจากเซลล์ที่ทำหน้าที่เก็บสะสมไขมัน ถ้าร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินไป ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะถูกสร้างเพิ่มขึ้นไปด้วยจนเกิดความไม่สมดุลและส่งผลให้มีอาการปวดตามมา
- การใช้น้ำมันหอมระเหย เพราะกลิ่นหอม ๆ สามารถช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขได้ชั่วระยะหนึ่ง จึงช่วยบรรเทาอาการหรือลืมความเจ็บปวดลงไปได้บ้าง
- สมุนไพรแก้ปวดประจําเดือน ผลการศึกษาหลายแห่งระบุว่า มีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เช่น ตังกุย, ดอกคาโมไมล์, อีฟนิ่งพริมโรส, เซนต์จอห์นเวิร์ต (St John’s Wort), แบล็กโคโฮส ( Black Cohosh) ฯลฯ แต่การใช้สมุนไพรเหล่านี้ควรศึกษาถึงผลข้างเคียงของแต่ละชนิดให้ดีก่อนซื้อหามารับประทาน
- การประคบอุ่นที่ท้องน้อยด้วยกระเป๋าน้ำร้อน เพราะความร้อนจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงอยู่ผ่อนคลายลงและช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ เมื่อมีอาการปวดจึงแนะนำให้ใช้กระเป๋าน้ำร้อนมาประคบวางไว้บนท้องน้อยทิ้งไว้สักครู่ (ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรใช้กระเป๋าน้ำร้อน 2 ใบ เพื่อใช้สำหรับประคบที่หน้าท้องและประคบที่บริเวณหลังส่วนล่าง และที่สำคัญการใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือแผ่นความร้อนอื่น ๆ ก็ควรใช้อย่างระมัดระวังด้วย เพราะอาจทำให้โดนลวกได้)
- ถ้าปวดไม่มากให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือแอสไพริน (Aspirin) ครั้งละ 1-2 เม็ด เวลาปวดให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกของการมีประจำเดือน
- ถ้าปวดมาก แนะนำให้นอนพัก ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบหน้าท้อง และรับประทานยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ครั้งละ 200-400 มิลลิกรัม และซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 1,200 มิลลิกรัม), ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ครั้งละ 50 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง, นาโพรเซน (Naproxen) ครั้งแรก 500 มิลลิกรัม ต่อไปครั้งละ 250 มิลลิกรัม ทุก 6-8 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 1,250 มิลลิกรัม), กรดเมเฟนามิค (Mefenamic acid) ที่มีชื่อทางการค้า เช่น พอนสแตน (Ponstan) ให้รับประทานครั้งแรก 500 มิลลิกรัม ต่อไปครั้งละ 250 มิลลิกรัม และซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง (ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 7 วัน) เป็นต้น โดยควรรับประทานยาก่อนมีประจำเดือน 48 ชั่วโมง และรับประทานทุกวันจนกว่าเลือดประจำเดือนหยุดไหล หรืออาจให้ยาในกลุ่มแอนติสปาสโมดิก (Antispasmodics) เช่น อะโทรปีน (Atropine), ไฮออสซีน (Hyoscine) รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด เพื่อบรรเทาอาการปวด และซ้ำได้ทุก 6-8 ชั่วโมง
- ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เป็นยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) โดยขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ไซโคลออกซิเจเนส (Cyclooxygenase) ทั้งชนิด 1 (COX-1) และชนิด 2 (COX-2) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสังเคราะห์สารพรอสตาแกลนดิน ยากลุ่มนี้จึงมีสรรพคุณในการต้านการอักเสบของเนื้อเยื่อต่าง ๆ แก้อาการปวด ลดไข้ ป้องกันและบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้
- ในรายที่มีอาการปวดมากจนเหงื่อออก ตัวเย็น แพทย์จะให้ฉีดยาแอนติสปาสโมดิก (Antispasmodics) เช่น อะโทรปีน (Atropine), ไฮออสซีน (Hyoscine) 1/2-1 หลอด เข้ากล้ามหรือเข้าหลอดเลือดดำ
- ในกรณีที่ตรวจพบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนก็ให้รักษาไปตามสาเหตุนั้น ๆ เช่น การผ่าตัดเนื้องอกมดลูก
- หากตรวจหาแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้
- การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined oral contraceptive pill) เป็นการนำประโยชน์ของยามาใช้รักษาอาการปวดประจำเดือนนอกจากการใช้เพื่อคุมกำเนิด มีวิธีรับประทานแบบเดียวกับที่ใช้คุมกำเนิด คือ วันละ 1 เม็ด ทุกวัน เพื่อมิให้มีการตกไข่ ซึ่งจะช่วยไม่ให้เกิดอาการปวดได้ชั่วระยะหนึ่ง โดยอาจให้รับประทานติดต่อกันนาน 3-4 เดือน แล้วลองหยุดยา ถ้าหากมีอาการกำเริบใหม่ ก็ควรรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนั้นต่อไปอีกสักระยะหนึ่งจนกว่าเมื่อหยุดยาแล้วอาการปวดประจำเดือนจะทุเลาไป เป็นยาที่นิยมใช้กันมาก เพราะสามารถบริหารยาได้ง่าย ราคาถูก และมีผลข้างเคียงต่ำ
- การฉีดยาคุมกำเนิด (Injectable contraceptive) เป็นการคุมกำเนิดด้วยยาฉีดนานประมาณ 9 เดือน (ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 3 เดือน) เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลง ช่วยลดปริมาณเลือดประจำเดือนที่ออกหรือทำให้ไม่มีประจำเดือนเลย จึงใช้รักษาภาวะปวดประจำเดือนได้ มีผลข้างเคียงที่พบได้คือ การมีเลือดออกกะปริดกะปรอย น้ำหนักตัวเพิ่ม ปวดศีรษะ ฯลฯ
- การฝังยาคุมกำเนิด (Contraceptive implant) ตัวยามี 2 ขนาด คือ ชนิดฝังครั้งเดียวอยู่ได้นาน 3 ปี และชนิดที่อยู่ได้นาน 5 ปี เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบาง ลดปริมาณเลือดประจำเดือนที่ออกหรือทำให้ไม่มีประจำเดือน จึงใช้รักษาภาวะปวดประจำเดือนได้ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการใช้ยา แต่มีผลข้างเคียงที่พบได้คือ การมีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระยะ 2-3 เดือนแรก มีอารมณ์แปรปรวน และบางรายอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ยากลุ่ม Gonadotropin releasing hormone agonist (GnRH agonist) เป็นยาฮอร์โมนที่มีฤทธิ์แรง ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้งนาน 6 เดือน ทำให้รังไข่ไม่ทำงานในระยะหนึ่งคล้ายกับการตัดรังไข่ จึงส่งผลให้ไม่มีประจำเดือน ราคายาค่อนข้างแพง ผลข้างเสียงสูง (มีอาการของวัยหมดประจำเดือน ร้อนวูบวาบ หงุดหงิด และการใช้ยานานเกินไปก็อาจทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้)
- ยาดานาซอล (Danazol) เป็นยาฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศชาย ใช้รับประทานนาน 6 เดือน มีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อ ช่วยลดปริมาณเลือดประจำเดือนที่ออกหรือทำให้ไม่มีประจำเดือน จึงใช้รักษาภาวะปวดประจำเดือนได้ แต่ยานี้ค่อนข้างมีราคาแพง และมีผลข้างเคียงที่พบได้คือ เสียงห้าว เสียงแหบเหมือนผู้ชาย หน้าเป็นสิว และผิวมัน ซึ่งเป็นผลของฮอร์โมนเพศชายนั่นเอง
- หากพบว่ามีอาการปวดประจำเดือนเริ่มแรกเกิดขึ้นเป็นครั้งในช่วงอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป หรือยังมีอาการปวดมากหลังแต่งงานและมีบุตรยาก หรือกดถูกเจ็บ มีไข้ ตกขาว มีเลือดประจำเดือนออกมากกว่าปกติ หรือใช้ยาดังที่กล่าวมาแล้ว 4-6 เดือน แต่อาการยังไม่ดีขึ้น หรือสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ควรไปปรึกษาแพทย์หรือสูตินรีแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุเพิ่มเติมว่ามีพยาธิสภาพอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งแพทย์อาจต้องตรวจภายในและทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น อัลตราซาวนด์, การตรวจเลือดเพื่อดูค่าสาร CA 125, การใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (Laparoscope) เป็นต้น เพื่อค้นหาสาเหตุให้แน่ชัดและให้การรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบต่อไป ส่วนการเปลี่ยนไปใช้ยาในกลุ่มอื่น ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์เช่นกัน
- การตรวจอัลตราซาวนด์ ซึ่งมีทั้งการตรวจผ่านทางหน้าท้องและผ่านทางช่องคลอด ซึ่งจะทำให้เห็นพยาธิสภาพของอวัยวะเพศภายใน เช่น เนื้องอกมดลูก ถุงน้ำรังไข่ เป็นต้น ข้อดีของการตรวจด้วยวิธีนี้คือ มีราคาถูก ไม่เจ็บตัว แต่จะไม่สามารถบอกเกี่ยวกับพังผืดในช่องท้องหรือในกรณีที่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ได้
- การตรวจเลือดเพื่อดูค่าสาร CA 125 ในภาวะที่มีเยื่อบุมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ชนิดรุนแรงอาจทำให้ผลการตรวจ CA 125 สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การตรวจชนิดนี้มีความจำเพาะต่ำ สามารถตรวจพบได้ในภาวะอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น การอักเสบในอุ้งเชิงกราน การตั้งครรภ์ การมีเนื้องอกรังไข่ ดังนั้น จึงไม่นิยมตรวจเพื่อใช้หาสาเหตุของการปวดประจำเดือน
- การใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (Laparoscope) เป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจหาสาเหตุของอาการปวดประจำเดือนหรือปวดท้องน้อย หากผู้ป่วยยังมีอาการปวดประจำเดือนมากหลังการรับประทานยามาได้สักระยะหรือตรวจอัลตราซาวนด์แล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจด้วยวิธีนี้เพิ่มเติม ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้จะสามารถทำให้เห็นรอยโรคภายในช่องอุ้งเชิงกรานได้อย่างชัดเจน เห็นพังผืด จุดเลือดออกที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ หรืออาจไม่พบสิ่งผิดปกติเลยก็ได้ (การตรวจจำเป็นต้องมีการเจาะหน้าท้อง มีแผลที่หน้าท้อง และอาจต้องให้ดมยาสลบหรือยาชาเฉพาะที่)
วิธีป้องกันการปวดประจำเดือน
- การมีประจำเดือนเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงทุกคน ดังนั้นเราควรคิดว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติ มีปวดประจำเดือนได้ก็มีหายได้ เราจึงไม่ควรเครียดไปกับมัน เพราะยิ่งเครียดมากก็จะยิ่งทำให้ปวดประจำเดือนมากขึ้น หากปวดประจำเดือนไม่มากเราก็สามารถดูแลตนเองในเบื้องต้นได้ตามวิธีที่กล่าวมา แต่ถ้ามีอาการปวดมากก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
- ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ เช่น การว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น เพราะเวลาออกกำลังกายร่างกายจะมีการหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (Endorphine) ออกมาซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เรามีความสุข
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือช็อกโกแลต
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม
- เน้นการรับประทานอาหารประเภทธัญพืช ถั่ว ผักใบเขียวและผลไม้ให้มาก ๆ และควรรับประทานปลามากกว่าเนื้อแดง (เนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม)
คำแนะนำอื่น ๆ
- เด็กสาวที่เริ่มมีอาการปวดประจำเดือน ควรเข้าใจว่าโรคนี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด และส่วนใหญ่เมื่อมีอายุมากขึ้นอาการอาจทุเลาลงหรือหายไปได้เอง
- ผู้หญิงที่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ ถ้าหากมีอาการปวดท้องรุนแรงผิดไปจากเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวาก็ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพราะอาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ หรือสาเหตุที่ร้ายแรงอื่น ๆ ได้
- หากเป็นการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (พบได้เป็นส่วนใหญ่) การรับประทานยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อาการปวดมักดีขึ้นและทุเลาลงได้ แต่ถ้าเป็นการปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (พบได้เป็นส่วนน้อย) การรับประทานยามักไม่ทำให้อาการดีขึ้นจนกว่าจะได้รับการรักษาที่สาเหตุ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา อาการปวดมักจะเป็นรุนแรงมากขึ้นทุกเดือนและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ต้องได้รับการรักษาที่สาเหตุ อาการปวดประจำเดือนจึงจะหายไปได้
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 882-883.
- มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 377 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค. “ปวดประจำเดือน”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [03 ก.ค. 2016].
- หาหมอดอทคอม. “ปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea)”. (รองศาสตราจารย์ พญ.ประนอม บุพศิริ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [04 ก.ค. 2016].
- wikiHow. “บรรเทาอาการปวดประจำเดือน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [05 ก.ค. 2016].
ภาพประกอบ : www.naturopathiccurrents.com, menstrupedia.com, www.hikari.sg, www.ladycarehealth.com, www.intimina.com, www.danieltagueacupuncture.com, allremedies.com
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)