ปรู
ปรู ชื่อสามัญ Ankota[3] ปรู ชื่อวิทยาศาสตร์ Alangium salviifolium (L.f.) Wangerin[1] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าเป็นชนิด Alangium salviifolium subsp. hexapetalum (Lam.) Wangerin[2],[3] โดยจัดอยู่ในวงศ์ CORNACEAE (ALANGIACEAE)[1]
สมุนไพรปรู มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะตาปู๋ (เชียงใหม่), มะเกลือกา (ปราจีนบุรี), ปู๋ ปรู๋ (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ผลู ปลู (ภาคกลาง) เป็นต้น[1]
ลักษณะของต้นปรู
- ต้นปรู หรือ ต้นปรู๋ เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ำปานกลางถึงมาก และชอบแสงแดดตลอดทั้งวัน มักพบขึ้นได้ตามบริเวณป่าโปร่งของประเทศที่มีอากาศร้อน โดยจัดเป็นพรรมไม้พุ่มขนาดกลางหรือเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลักษณะเรือนยอดโปร่ง ค่อนข้างกว้าง มีรูปร่างไม่แน่นอน มีความสูงของต้นประมาณ 8-10 เมตร ลักษณะของต้นและกิ่งก้านเกลี้ยง หรืออาจมีขนเล็กน้อยตามกิ่งอ่อน ลำต้นมักบิดและคดงอ ส่วนโคนต้นมักเป็นพูต่ำ ๆ เปลือกต้นด้านนอกเป็นสีน้ำตาลแดง แตกล่อนเป็นสะเก็ด ส่วนเปลือกด้านในและกระพี้เป็นสีเหลืองอ่อน และแก่นกลางเป็นสีน้ำตาลเขียว จะผลัดใบหมดก่อนผลิดอก[1],[2],[3] มีเขตการกระจายพันธุ์ในอินเดีย พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบได้ตามป่าเบญจพรรณทั่วไปทางภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ ยกเว้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 200-500 เมตร[4],[6]
- ใบปรู ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปขอบขนาน หรือเป็นรูปหอกกลับ ปลายใบแหลมหรือมีติ่งแหลมออกมา โคนใบแคบแหลมหรือสอบเรียว ส่วนขอบใบเรียบไม่มีหยักหรือเป็นคลื่น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร ใต้ท้องใบจะมีเส้นใบประมาณ 3-6 คู่ มองเห็นได้ชัดเจน เส้นใบย่อยเป็นแบบเส้นขั้นบันได เนื้อใบบางเกลี้ยงหรือเกือบเกลี้ยง มีก้านใบยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร ใบอ่อนจะมีขนและเป็นสีเขียวอ่อนใส ส่วนใบแก่จะเป็นสีเขียวเข้ม[1],[2],[3]
- ดอกปรู ออกดอกเป็นช่อรวมกันเป็นกระจุกตามซอกใบหรือตามกิ่งเหนือรอยแผลใบ ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ดอกเป็นสีขาวนวลหรือเป็นสีเหลืองอ่อน และมีกลิ่นหอม ดอกมีขนขึ้นอยู่ประปราย กลีบดอกมีประมาณ 5-7 กลีบ ดอกตูมขอบกลีบดอกจะประสานกันเป็นรูปทรงกระบอกยาว ส่วนกลีบรองกลีบดอกเป็นรูปขอบขนานแคบ ๆ ด้านนอกมีขนสีน้ำตาล และแยกแผ่ออกเป็นรูปกังหันในระดับเดียวกันประมาณ 5-6 แฉก มีขนาดประมาณ 0.2-0.5 เซนติเมตร ส่วนโคนจะเชื่อมติดกันลักษณะเป็นท่อรูปกรวย โดยกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่กลีบดอกจะม้วนตัวโค้งกลับมาทางโคนก้านดอก ดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 10-18 ก้าน ส่วนมากมี 12 ก้าน โคนก้านเกสรมีขนยาว ๆ ส่วนเกสรเพศเมียเกลี้ยง มีรังไข่เป็นรูปรี ภายในมีช่องเดียวและมีไข่อ่อนหนึ่งหน่วย และจะออกดอกเต็มต้นหลังการผลัดใบหมด โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[3]
- ผลปรู ออกผลเป็นกระจุก ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นรูปรี ปลายผลมีกลีบรองกลีบดอกติดอยู่ ส่วนกลางผลมีสันแข็งตลอดความยาวของผล ผลมีขนาดกว้างประมาณ 0.9 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลจะไม่แตก แต่จะเป็นร่องตามยาวหลายร่อง (สัน) ภายในผลมีเมล็ดเดี่ยวและมีเนื้อเยื่อสีแดง ๆ บาง ๆ หุ้มเมล็ดแข็ง ผลมีรสหวานอมเปรี้ยว มีกินหอม ใช้รับประทานได้ โดยจะเป็นผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2],[3]
สรรพคุณของปรู
- ตำรายาไทยใช้แก่นหรือเนื้อไม้เป็นยาบำรุงกำลัง (แก่น, เนื้อไม้)[2],[5]
- เปลือกต้นมีรสฝาด ใช้ต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาบำรุงธาตุไฟ ปิดธาตุ (เปลือกต้น)[1],[5] ส่วนผลมีรสร้อนเบื่อ สรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ (ผล)[5]
- ช่วยบำบัดอาการเป็นไข้และช่วยขับเหงื่อ ด้วยการใช้เปลือกรากนำมาต้มเป็นยารับประทาน (เปลือกราก)[1]
- ใช้แก้หอบหืด แก้อาการไอ ไอหืด ด้วยการใช้เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำรับประทาน (เปลือกต้น)[1],[2],[4]
- เปลือกรากนำมาต้มรับประทานเป็นยาแก้พิษ เป็นยาทำให้อาเจียน (เปลือกราก)[1]
- เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้อาการจุกเสียด แก้ท้องร่วง ลงท้อง ท้องเสีย ท้องเดิน (เปลือกต้น)[1],[2] ส่วนผลก็แก้อาการจุกเสียดได้เช่นกัน (ผล)[2]
- ใช้เปลือกรากต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาระบาย (เปลือกราก)[1]
- ช่วยในการขับพยาธิ ด้วยการใช้เปลือกรากนำมาต้มกับน้ำรับประทาน (เปลือกราก)[1] ส่วนผลมีรสฝาด มีสรรพคุณเป็นยาขับพยาธิเช่นกัน (ผล)[2],[4]
- เนื้อไม้มีรสฝาดเฝื่อน ใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงลำไส้ (เนื้อไม้)[5]
- แก่นหรือเนื้อไม้ใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (แก่น, เนื้อไม้)[2],[5]
- แก่นมีรสจืดเฝื่อน ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย (แก่น)[5]
- เปลือกรากสดนำมาตำให้ละเอียดหรือคั้นเอาแต่น้ำใช้ล้างแผล แก้โรคผิวหนัง (เปลือกราก)[1]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นปรู
- พบว่ามีสารอัลคาลอยด์อยู่หลายชนิด ได้แก่ anabasine, cephaeline, psychotrine เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ จึงควรมีการศึกษาทางพิษวิทยาของสารเหล่านี้ด้วย[2]
- มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต เพิ่มความแรงของการบีบตัวของหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบบีบตัว ทำให้หลอดเลือดหดตัว มีฤทธิ์ลดการอักเสบ คลายกล้ามเนื้อมดลูก ต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย โปรโตซัว ต้านยีสต์ และต้านมะเร็ง[6]
ประโยชน์ของปรู
- ผลมีรสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม ใช้รับประทานได้[3]
- เนื้อไม้ของต้นปรูมีความเหนียวและมีลายสวยงาม จึงนิยมนำมาใช้ทำพานท้ายปืน ด้ามเครื่องมือทางการเกษตร เครื่องกลึง เครื่องประกอบเกวียน งานแกะสลัก รวมไปถึงเครื่องเรือนต่าง ๆ[4],[6]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ปรู”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 449-450.
- หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ปรู”. หน้า 40.
- สวนพฤกษศาตร์โรงเรียนชลบุรีสุขบท. “ปรู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.skb.ac.th/~botanical/. [20 เม.ย. 2014].
- หนังสือสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4. “ปรู๋”. (วีระชัย ณ นคร).
- ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ปรู๋, ปรู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [20 เม.ย. 2014].
- สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. “ปรู”. อ้างอิงใน: สมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทย. ไม้และของป่าบางชนิดในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: uttaradit.uru.ac.th/~botany/. [20 เม.ย. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Dinesh Valke, Mamatha Rao), www.pharmacy.mahidol.ac.th
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)