บ๊วย สรรพคุณและประโยชน์ของบ๊วย 27 ข้อ !

บ๊วย สรรพคุณและประโยชน์ของบ๊วย 27 ข้อ !

บ๊วย

บ๊วย ภาษาอังกฤษ Chinese plum, Japanese apricot, Ume

บ๊วย ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus mume Siebold & Zucc. จัดอยู่ในวงศ์ ROSACEAE ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับพลัม ลูกท้อ เชอร์รี่ อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง

บ๊วย เป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน ต่อมาภายหลังได้แพร่กระจายไปหลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น ไทย ลาว พม่า เวียดนาม ไต้หวัน ฯลฯ สำหรับในประเทศไทยมีการเพาะปลูกกันมานานแล้ว โดยได้แพร่เข้ามาทางภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงราย โดยสายพันธุ์ที่นิยมเพาะปลูกกัน[1],[2],[4] ได้แก่

  • บ๊วยพันธุ์เชียงราย หรือ บ๊วยพันธุ์แม่สาย บ๊วยชนิดนี้จัดเป็นพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของไทย ต้องปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 500 เมตรขึ้นไป และยังมีข้อเสียก็คือ ผลมีขนาดเล็กไม่ตรงกับความต้องการของโรงงานแปรรูป[1],[2]
  • บ๊วยพันธุ์ปิงติง สายพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวัน เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
  • บ๊วยพันธุ์เจียนโถ พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวันเช่นเดียวกัน และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
  • บ๊วยพันธุ์บารมี 1 หรือ บ๊วยพันธุ์ขุนวาง 1 สายพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ จุดเด่นก็คือ ลักษณะของผลจะมีขนาดใหญ่และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
  • บ๊วยพันธุ์บารมี 2 หรือ บ๊วยพันธุ์ขุนวาง 2 สายพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่เช่นกัน นอกจากจะให้ผลที่มีขนาดใหญ่แล้ว ยังให้ผลผลิตที่สูงอีกด้วย และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]

ต้นบ๊วย

ลักษณะของบ๊วย

  • ต้นบ๊วย จัดเป็นไม้ผลยืนต้นที่สามารถเพาะปลูกได้ง่าย ไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก มีโรคและแมลงรบกวนน้อย และให้ผลผลิตสูงตามอายุและขนาดลำต้น โดยต้องการอุณหภูมิในการปลูกต่ำประมาณ 7.2 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่านั้น สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกประเภท และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเสียบกิ่งหรือด้วยวิธีการปักชำ[1],[2]

รูปต้นบ๊วย

  • ใบบ๊วย ใบมีขนาดเล็ก มีสีเขียวอมเทา ขอบใบเป็นหยักคล้ายฟันเลื่อย[4]

ลูกบ๊วย

  • ดอกบ๊วย ดอกมีกลิ่นหอม มีสีขาวหรือสีชมพู[4]

ลักษณะบ๊วย

ดอกบ๊วยรูปดอกบ๊วย
  • ผลบ๊วย หรือ ลูกบ๊วย ผลมีลักษณะกลมสีเขียว เมื่อแก่เต็มที่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผลบ๊วยโดยทั่วไปแล้วจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร เนื้อมีรสขมอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม ผลสุกเนื้อนิ่ม ในผลมีเมล็ดแข็ง ในประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันผลจะแก่และเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ส่วนในประเทศไทยจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนเมษายน[1],[4]

ลูกบ๊วยสด

ผลบ๊วย

รูปบ๊วย

บ๊วยดำ

โอวบ๊วย หรือ บ๊วยดำ ภาษาจีนกลางเรียกว่า “อูเหมย” ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Smoked plum โดยนำส่วนของผลบ๊วยที่ใกล้จะสุกมาทำเป็นยา หรือในชื่อของเครื่องยา Fructus Mume[8] (ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากบ๊วย แต่จะมีสรรพคุณแตกต่างกันออกไป ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมาจากสถาบันการแพทย์แผนไทยและจีน)

สรรพคุณบ๊วยดำ

  1. โอวบ๊วยมีรสเปรี้ยว ฝาด และสุขุม มีฤทธิ์ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ปอด ช่วยระงับอาการไอ แก้ไอแห้ง อาการไอเรื้อรัง[8]
  2. โอวบ๊วยมีฤทธิ์ช่วยเสริมธาตุน้ำ ช่วยแก้ร้อนแบบพร่อง แก้อาการร้อนใน ช่วยแก้กระหายน้ำ[8]
  3. ช่วยลดอาการไข้[9]
  4. ช่วยสมานลำไส้ ช่วยระงับอาการท้องร่วง แก้อาการท้องร่วงเรื้อรังและมีเลือดปน บิดเรื้อรัง[8]
  5. ช่วยป้องกันโรคติดต่อในลำไส้ได้[9]
  6. มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิ แก้พยาธิ[8]
  7. ช่วยห้ามเลือดได้ดี[8]
  8. บ๊วยดำประกอบด้วยกรดมาลิก กรดซิตริก กรดซักซินิก ไฟโตสเตอรอล และในเมล็ดจะมีน้ำมัน โดยบ๊วยดำสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อบิด เชื้อวัณโรค เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อไทฟอยด์หรือไข้รากสาดใหญ่[9]

ขนาดและวิธีใช้ : ใช้ประมาณ 6-12 กรัม นำมาต้มเอาน้ำดื่ม[8]

ข้อห้ามใช้ : ควรระมัดระวังในการใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีไข้และร้อนแกว่ง[8]

สรรพคุณของบ๊วย

  1. ช่วยเพิ่มกำลัง บรรเทาอาการอ่อนเพลีย เพราะการที่คนเรารู้สึกมีอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ก็เนื่องมาจากกรดในเลือดสูง ร่างกายจึงไม่สามารถปรับสมดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่เพราะบ๊วยที่ความเป็นด่างที่ค่า pH 7.35 ซึ่งใกล้เคียงกับเลือดของเรา ดังนั้นการรับประทานบ๊วยจึงช่วงถ่วงดุลความด่างได้[1],[3],[5]
  2. ช่วยลดการกระหายน้ำ ช่วยลดการสูญเสียเหงื่อในร่างกาย[1],[4]
  3. ช่วยป้องกันเป็นลมแดด สำหรับผู้ที่ทำงานหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง เนื่องจากบ๊วยโดยเฉพาะบ๊วยเค็มจะมีโซเดียมอยู่มาก จึงช่วยเติมเกลือแร่ให้กับร่างกาย โดยควรกินพร้อมกับการดื่มน้ำแบบค่อย ๆ จิบก็จะช่วยได้มาก[5]
  4. ช่วยลดมลพิษและอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย และช่วยลดกรดในกระเพาะ[1],[4]
  5. ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบ โรคฟัน แก้ปัญหาเรื่องการเกิดกลิ่นปาก[4]
  6. ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน[1]
  7. ช่วยปรับสมดุลในกระเพาะอาหารให้มีความแข็งแรง[4]
  8. ช่วยเสริมสร้างระบบการย่อยอาหาร แก้อาการอาหารไม่ย่อย หรือหากมีอาการท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง การรับประทานบ๊วยจะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้[4]
  9. ช่วยรักษาอาการท้องร่วงเรื้อรังได้[6]
  10. ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร[1]
  11. ช่วยขับพยาธิบางชนิดในลำไส้ได้[1],[6]
  12. บ๊วยเป็นหนึ่งในอาหารที่เป็นตัวช่วยในระบบขับถ่ายน้ำในร่างกาย เพราะการรับประทานอาหารที่มีรสจัด เค็มจัด หรือเผ็ดจัด จะทำให้การขับถ่ายน้ำไม่ค่อยดี อาจทำให้เกิดโรคในระบบการขับถ่ายน้ำตามมา เช่น โรคถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคบวมน้ำ โรคไต เป็นต้น ซึ่งการรับประทานบ๊วยจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้[5]
  13. ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา (น้ำบ๊วย)[6]
  14. ช่วยแก้อาการแพ้ท้องของสตรีมีครรภ์ [4]
  15. ผลบ๊วยแช่น้ำเกลือนำมาคั้นเอาแต่น้ำใช้ดื่มรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรีได้[7]

ประโยชน์ของบ๊วย

  • แม้ว่าบ๊วยจะเป็นผลไม้ที่ใช้รับประทานสดไม่ได้ แต่ก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เพื่อใช้บริโภคได้ เช่น บ๊วยเค็ม บ๊วยดอง หรือบ๊วยเจี่ย บ๊วยแช่อิ่ม บ๊วยอบแห้ง ทำแยม น้ำบ๊วย ยาอมรสบ๊วย ฯลฯ หรือนำไปใช้ทำเป็นอาหาร เช่น ปลานึ่งบ๊วย น้ำจิ้มบ๊วย ซอสบ๊วย เป็นต้น[2],[4]
  • การรับประทานบ๊วยจะช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถ เมาเรือ หรือเมาเครื่องบินได้ หากคุณต้องเดินทางไกลอยู่บ่อย ๆ พกบ๊วยติดตัวไว้จะช่วยได้มาก[4]
  • ช่วยแก้อาการเมาค้างเนื่องมาจากการดื่มเหล้าดื่มสุรา[4]
  • หากคุณมีอาการง่วงนอน บ๊วยถือว่าเป็นของทานเล่นที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เพราะจะช่วยผ่อนคลายอาการง่วงนอนได้เป็นอย่างดี[5]

บ๊วยเค็ม

ข้อควรระวังในการรับประทานบ๊วย

  • สำหรับผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารที่มีความเค็ม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “บ๊วยเค็ม” เพราะความเค็มเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคชนิดนี้และอาจทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น[5]
  • บ๊วยหวานมีการตรวจพบว่ามีสารซัคคาริน (ขัณฑสกร) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานในอาหารแห้ง โดยตรวจพบที่ด่านแม่สายมากถึง 80% การได้รับสารชนิดนี้มากจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มีอาการระคายเคืองในช่องปาก และเป็นโรคกระเพาะอาหารได้[5]
  • สำหรับคนทั่วไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ การรับประทานบ๊วยเค็มในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายมีปริมาณของโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ทำให้มีอาการกระหายน้ำ เป็นร้อนใน เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ไตและหัวใจทำงานหนักขึ้น แนะนำว่าควรเลือกรับประทานอาหารที่มีรสเค็มปานกลาง และลดปริมาณของอาหารที่มีโซเดียมสูง[5]

วิธีทำน้ำบ๊วย

  1. อย่างแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ คือ บ๊วยดองน้ำเกลือ 10 เม็ด / น้ำตาลทราย ½-1 ถ้วยตวง / เกลือป่น 1-2 ช้อนชา / น้ำสะอาด 6 ถ้วย[7]
  2. เมื่อเตรียมเสร็จแล้ว ให้นำบ๊วยมายีเอาแต่เนื้อ ใส่น้ำลงในหม้อและใส่น้ำตาล ตั้งไฟพอเดือด เมื่อน้ำตาลละลายให้ใส่บ๊วย ต้มสักครู่จนน้ำมีสีเหลืองอ่อน ๆ[7]
  3. หลังจากนั้นให้ใส่เกลือแล้วคนให้ทั่ว ชิมรสให้มีเปรี้ยว หวาน และเค็มเล็กน้อย เสร็จแล้วปิดฝาทิ้งไว้รอจนเย็น แล้วนำมาเทใส่ขวดและแช่ตู้เย็น เป็นอันเสร็จ[7]
  4. หากจะนำมาดื่มก็เพียงแค่ตักน้ำแข็งใส่แก้ว แล้วเทน้ำบ๊วยใส่แก้ว ดื่มได้ทันที[7]
เอกสารอ้างอิง
  1. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน).  “บ๊วย“.  (บุษบา แซ่ลี).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th.  [7 พ.ย. 2013].
  2. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.doa.go.th/hrc/cmroyal.  [7 พ.ย. 2013].
  3. KU eMagazine นิตยสารออนไลน์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.  “สารพัดวิธีผ่อนคลาย“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/e-magazin.  [7 พ.ย. 2013].
  4. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/บ๊วย (ROSACEAE).  [7 พ.ย. 2013].
  5. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th.  [7 พ.ย. 2013].
  6. GotoKnow.  “ประโยชน์จากน้ำผลไม้ที่คุณอาจไม่เคยรู้“.  (ORAWAN).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org.  [7 พ.ย. 2013].
  7. มูลนิธิสุขภาพไทย.  “น้ำบ๊วย“.  อ้างอิงใน: สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารสุข : น้ำสมุนไพร 108.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org.  [7 พ.ย. 2013].
  8. สถาบันการแพทย์ไทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.  “โอวบ๊วย“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: tcm.dtam.moph.go.th.  [7 พ.ย. 2013].
  9. ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลีมพระเกียรติ.  “บ๊วยดำ“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: cul.hcu.ac.th.  [7 พ.ย. 2013].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by sinabroli, baron05mouth, Brooklyn Botanic Garden, Nemo’s great uncle, snowshoe hare (back and catching up))

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด