บ๊วย
บ๊วย ภาษาอังกฤษ Chinese plum, Japanese apricot, Ume
บ๊วย ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus mume Siebold & Zucc. จัดอยู่ในวงศ์ ROSACEAE ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับพลัม ลูกท้อ เชอร์รี่ อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง
บ๊วย เป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน ต่อมาภายหลังได้แพร่กระจายไปหลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น ไทย ลาว พม่า เวียดนาม ไต้หวัน ฯลฯ สำหรับในประเทศไทยมีการเพาะปลูกกันมานานแล้ว โดยได้แพร่เข้ามาทางภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงราย โดยสายพันธุ์ที่นิยมเพาะปลูกกัน[1],[2],[4] ได้แก่
- บ๊วยพันธุ์เชียงราย หรือ บ๊วยพันธุ์แม่สาย บ๊วยชนิดนี้จัดเป็นพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของไทย ต้องปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 500 เมตรขึ้นไป และยังมีข้อเสียก็คือ ผลมีขนาดเล็กไม่ตรงกับความต้องการของโรงงานแปรรูป[1],[2]
- บ๊วยพันธุ์ปิงติง สายพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวัน เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
- บ๊วยพันธุ์เจียนโถ พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวันเช่นเดียวกัน และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
- บ๊วยพันธุ์บารมี 1 หรือ บ๊วยพันธุ์ขุนวาง 1 สายพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ จุดเด่นก็คือ ลักษณะของผลจะมีขนาดใหญ่และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
- บ๊วยพันธุ์บารมี 2 หรือ บ๊วยพันธุ์ขุนวาง 2 สายพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่เช่นกัน นอกจากจะให้ผลที่มีขนาดใหญ่แล้ว ยังให้ผลผลิตที่สูงอีกด้วย และเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[1],[2]
ลักษณะของบ๊วย
- ต้นบ๊วย จัดเป็นไม้ผลยืนต้นที่สามารถเพาะปลูกได้ง่าย ไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก มีโรคและแมลงรบกวนน้อย และให้ผลผลิตสูงตามอายุและขนาดลำต้น โดยต้องการอุณหภูมิในการปลูกต่ำประมาณ 7.2 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่านั้น สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกประเภท และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเสียบกิ่งหรือด้วยวิธีการปักชำ[1],[2]
- ใบบ๊วย ใบมีขนาดเล็ก มีสีเขียวอมเทา ขอบใบเป็นหยักคล้ายฟันเลื่อย[4]
- ดอกบ๊วย ดอกมีกลิ่นหอม มีสีขาวหรือสีชมพู[4]
- ผลบ๊วย หรือ ลูกบ๊วย ผลมีลักษณะกลมสีเขียว เมื่อแก่เต็มที่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผลบ๊วยโดยทั่วไปแล้วจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร เนื้อมีรสขมอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม ผลสุกเนื้อนิ่ม ในผลมีเมล็ดแข็ง ในประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันผลจะแก่และเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ส่วนในประเทศไทยจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนเมษายน[1],[4]
โอวบ๊วย หรือ บ๊วยดำ ภาษาจีนกลางเรียกว่า “อูเหมย” ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Smoked plum โดยนำส่วนของผลบ๊วยที่ใกล้จะสุกมาทำเป็นยา หรือในชื่อของเครื่องยา Fructus Mume[8] (ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากบ๊วย แต่จะมีสรรพคุณแตกต่างกันออกไป ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมาจากสถาบันการแพทย์แผนไทยและจีน)
สรรพคุณบ๊วยดำ
- โอวบ๊วยมีรสเปรี้ยว ฝาด และสุขุม มีฤทธิ์ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ปอด ช่วยระงับอาการไอ แก้ไอแห้ง อาการไอเรื้อรัง[8]
- โอวบ๊วยมีฤทธิ์ช่วยเสริมธาตุน้ำ ช่วยแก้ร้อนแบบพร่อง แก้อาการร้อนใน ช่วยแก้กระหายน้ำ[8]
- ช่วยลดอาการไข้[9]
- ช่วยสมานลำไส้ ช่วยระงับอาการท้องร่วง แก้อาการท้องร่วงเรื้อรังและมีเลือดปน บิดเรื้อรัง[8]
- ช่วยป้องกันโรคติดต่อในลำไส้ได้[9]
- มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิ แก้พยาธิ[8]
- ช่วยห้ามเลือดได้ดี[8]
- บ๊วยดำประกอบด้วยกรดมาลิก กรดซิตริก กรดซักซินิก ไฟโตสเตอรอล และในเมล็ดจะมีน้ำมัน โดยบ๊วยดำสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อบิด เชื้อวัณโรค เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อไทฟอยด์หรือไข้รากสาดใหญ่[9]
ขนาดและวิธีใช้ : ใช้ประมาณ 6-12 กรัม นำมาต้มเอาน้ำดื่ม[8]
ข้อห้ามใช้ : ควรระมัดระวังในการใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีไข้และร้อนแกว่ง[8]
สรรพคุณของบ๊วย
- ช่วยเพิ่มกำลัง บรรเทาอาการอ่อนเพลีย เพราะการที่คนเรารู้สึกมีอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ก็เนื่องมาจากกรดในเลือดสูง ร่างกายจึงไม่สามารถปรับสมดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่เพราะบ๊วยที่ความเป็นด่างที่ค่า pH 7.35 ซึ่งใกล้เคียงกับเลือดของเรา ดังนั้นการรับประทานบ๊วยจึงช่วงถ่วงดุลความด่างได้[1],[3],[5]
- ช่วยลดการกระหายน้ำ ช่วยลดการสูญเสียเหงื่อในร่างกาย[1],[4]
- ช่วยป้องกันเป็นลมแดด สำหรับผู้ที่ทำงานหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง เนื่องจากบ๊วยโดยเฉพาะบ๊วยเค็มจะมีโซเดียมอยู่มาก จึงช่วยเติมเกลือแร่ให้กับร่างกาย โดยควรกินพร้อมกับการดื่มน้ำแบบค่อย ๆ จิบก็จะช่วยได้มาก[5]
- ช่วยลดมลพิษและอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย และช่วยลดกรดในกระเพาะ[1],[4]
- ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบ โรคฟัน แก้ปัญหาเรื่องการเกิดกลิ่นปาก[4]
- ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน[1]
- ช่วยปรับสมดุลในกระเพาะอาหารให้มีความแข็งแรง[4]
- ช่วยเสริมสร้างระบบการย่อยอาหาร แก้อาการอาหารไม่ย่อย หรือหากมีอาการท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง การรับประทานบ๊วยจะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้[4]
- ช่วยรักษาอาการท้องร่วงเรื้อรังได้[6]
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร[1]
- ช่วยขับพยาธิบางชนิดในลำไส้ได้[1],[6]
- บ๊วยเป็นหนึ่งในอาหารที่เป็นตัวช่วยในระบบขับถ่ายน้ำในร่างกาย เพราะการรับประทานอาหารที่มีรสจัด เค็มจัด หรือเผ็ดจัด จะทำให้การขับถ่ายน้ำไม่ค่อยดี อาจทำให้เกิดโรคในระบบการขับถ่ายน้ำตามมา เช่น โรคถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคบวมน้ำ โรคไต เป็นต้น ซึ่งการรับประทานบ๊วยจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้[5]
- ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา (น้ำบ๊วย)[6]
- ช่วยแก้อาการแพ้ท้องของสตรีมีครรภ์ [4]
- ผลบ๊วยแช่น้ำเกลือนำมาคั้นเอาแต่น้ำใช้ดื่มรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรีได้[7]
ประโยชน์ของบ๊วย
- แม้ว่าบ๊วยจะเป็นผลไม้ที่ใช้รับประทานสดไม่ได้ แต่ก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เพื่อใช้บริโภคได้ เช่น บ๊วยเค็ม บ๊วยดอง หรือบ๊วยเจี่ย บ๊วยแช่อิ่ม บ๊วยอบแห้ง ทำแยม น้ำบ๊วย ยาอมรสบ๊วย ฯลฯ หรือนำไปใช้ทำเป็นอาหาร เช่น ปลานึ่งบ๊วย น้ำจิ้มบ๊วย ซอสบ๊วย เป็นต้น[2],[4]
- การรับประทานบ๊วยจะช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถ เมาเรือ หรือเมาเครื่องบินได้ หากคุณต้องเดินทางไกลอยู่บ่อย ๆ พกบ๊วยติดตัวไว้จะช่วยได้มาก[4]
- ช่วยแก้อาการเมาค้างเนื่องมาจากการดื่มเหล้าดื่มสุรา[4]
- หากคุณมีอาการง่วงนอน บ๊วยถือว่าเป็นของทานเล่นที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เพราะจะช่วยผ่อนคลายอาการง่วงนอนได้เป็นอย่างดี[5]
ข้อควรระวังในการรับประทานบ๊วย
- สำหรับผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารที่มีความเค็ม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “บ๊วยเค็ม” เพราะความเค็มเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคชนิดนี้และอาจทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น[5]
- บ๊วยหวานมีการตรวจพบว่ามีสารซัคคาริน (ขัณฑสกร) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานในอาหารแห้ง โดยตรวจพบที่ด่านแม่สายมากถึง 80% การได้รับสารชนิดนี้มากจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มีอาการระคายเคืองในช่องปาก และเป็นโรคกระเพาะอาหารได้[5]
- สำหรับคนทั่วไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ การรับประทานบ๊วยเค็มในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายมีปริมาณของโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ทำให้มีอาการกระหายน้ำ เป็นร้อนใน เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ไตและหัวใจทำงานหนักขึ้น แนะนำว่าควรเลือกรับประทานอาหารที่มีรสเค็มปานกลาง และลดปริมาณของอาหารที่มีโซเดียมสูง[5]
วิธีทำน้ำบ๊วย
- อย่างแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ คือ บ๊วยดองน้ำเกลือ 10 เม็ด / น้ำตาลทราย ½-1 ถ้วยตวง / เกลือป่น 1-2 ช้อนชา / น้ำสะอาด 6 ถ้วย[7]
- เมื่อเตรียมเสร็จแล้ว ให้นำบ๊วยมายีเอาแต่เนื้อ ใส่น้ำลงในหม้อและใส่น้ำตาล ตั้งไฟพอเดือด เมื่อน้ำตาลละลายให้ใส่บ๊วย ต้มสักครู่จนน้ำมีสีเหลืองอ่อน ๆ[7]
- หลังจากนั้นให้ใส่เกลือแล้วคนให้ทั่ว ชิมรสให้มีเปรี้ยว หวาน และเค็มเล็กน้อย เสร็จแล้วปิดฝาทิ้งไว้รอจนเย็น แล้วนำมาเทใส่ขวดและแช่ตู้เย็น เป็นอันเสร็จ[7]
- หากจะนำมาดื่มก็เพียงแค่ตักน้ำแข็งใส่แก้ว แล้วเทน้ำบ๊วยใส่แก้ว ดื่มได้ทันที[7]
เอกสารอ้างอิง
- ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “บ๊วย“. (บุษบา แซ่ลี). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [7 พ.ย. 2013].
- ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doa.go.th/hrc/cmroyal. [7 พ.ย. 2013].
- KU eMagazine นิตยสารออนไลน์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “สารพัดวิธีผ่อนคลาย“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/e-magazin. [7 พ.ย. 2013].
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/บ๊วย (ROSACEAE). [7 พ.ย. 2013].
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [7 พ.ย. 2013].
- GotoKnow. “ประโยชน์จากน้ำผลไม้ที่คุณอาจไม่เคยรู้“. (ORAWAN). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [7 พ.ย. 2013].
- มูลนิธิสุขภาพไทย. “น้ำบ๊วย“. อ้างอิงใน: สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารสุข : น้ำสมุนไพร 108. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [7 พ.ย. 2013].
- สถาบันการแพทย์ไทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. “โอวบ๊วย“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: tcm.dtam.moph.go.th. [7 พ.ย. 2013].
- ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลีมพระเกียรติ. “บ๊วยดำ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: cul.hcu.ac.th. [7 พ.ย. 2013].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by sinabroli, baron05mouth, Brooklyn Botanic Garden, Nemo’s great uncle, snowshoe hare (back and catching up))
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)