ทอรีน
- ทอรีน (Taurine) คืออะไร ? ทอรีนก็คือ กรดอะมิโน ชนิดหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มกรดอะมิโนไม่จำเป็น เพราะร่างกายสามารถสร้างเองได้
- แต่กรดอะมิโนตัวนี้จัดว่ามีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโครงสร้างของกรดอะมิโนตัวอื่น ๆ ทั้งหมด โดยทอรีนนั้นพบได้มากในเนื้อเยื่อหัวใจ กล้ามเนื้อลาย และระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ทอรีนยังเป็นส่วนประกอบของน้ำดีอีกด้วย
- สำหรับแหล่งอาหารที่สามารถพบได้ทั่วไปของทอรีนก็ได้แก่ เนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น เนื้อวัว ตับวัว หมู ตับหมู เนื้อแกะ เนื้อไก่ ปลาค็อด ปลาโดยเฉพาะปลาทูน่า แมลง ไข่ หอยต่าง ๆ อย่างหอยแมลงภู่ หอยนางรม รวมไปถึงสาหร่ายทะเลโดยเฉพาะสาหร่ายแดง และนมโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำนมโคลอสตรัมจากคนและวัว เป็นต้น และทอรีนจะไม่มีอยู่ในพืชผัก หรือถ้ามีก็ถือว่ามีน้อยมาก ๆ คือประมาณ 0.01 ไมโครโมลต่อกรัม
- ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนชนิดนี้ขึ้นมาเองได้อยู่แล้ว ถ้าตราบใดที่ร่างกายของเรายังมีวิตามินบี 6 อยู่
- หากร่างกายขาดวิตามินบี 6 จะไปขัดขวางการสร้างกรดอะมิโนทอรีน
- การดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายของคุณไม่สามารถใช้ทอรีนได้อย่างเหมาะสม
- การขาดทอรีนในระดับปานกลาง ร่างกายจะมีระดับโปรตีนสำคัญ ๆ ในเลือดต่ำ ส่งผลให้เด็กมีการเจริญเติบโตช้า แต่ถ้าขาดทอรีนอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหงาหงอย อ่อนเพลีย ตัวผอม ผิวหนังแห้งหรืออักเสบ เส้นผมเปลี่ยนสี บวม ตับอาจถูกทำลาย เกิดการสูญเสียกล้ามเนื้อและไขมัน
ประโยชน์ของทอรีน
- ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย
- ทอรีนจัดว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการของระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองของทารกแรกเกิด และในวัยทารกจะมีปริมาณทอรีนมากกว่าในผู้ใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในช่วงวัยเจริญเติบโต ร่างกายจะต้องการทอรีนในปริมาณมาก
- เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ในเม็ดเลือดขาวและในปอด
- ช่วยทำหน้าที่ปกป้องสมอง และทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมน้ำในเซลล์ของสมอง และยังเชื่อกันว่าทอรีนจะทำหน้าที่เป็นตัวนำกระแสประสาทในสมองอีกด้วย
- ช่วยคลายความเครียด ช่วยรักษาโรควิตกกังวล
- ช่วยรักษาความคงตัวของผนังเซลล์ในร่างกาย
- ช่วยรักษาโรคลมชัก
- ทอรีนช่วยลดความดันโลหิต ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ และช่วยทำให้หัวใจทำงานได้อย่างแข็งแรงมากขึ้น
- ช่วยในการทำงานของแคลเซียม ช่วยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
- ทอรีนจะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจใช้แคลเซียมได้อย่างสมดุลในการหดตัว ซึ่งไม่ทำให้เกิด Calcium Overload ต่อหัวใจแม้จะอยู่ในสภาวะที่มีระดับแคลเซียมสูง ทำให้เชื่อว่าสามารถช่วยรักษาภาวะหัวใจวายได้
- ช่วยส่งเสริมการมองเห็นและป้องกันศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม และช่วยในการทำงานของเรตินาในการรับแสง
- ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการย่อยไขมัน ซึ่งจะมีเป็นตัวช่วยในการดูดซึมไขมัน รวมไปถึงการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันด้วยเช่นกัน
- ช่วยส่งเสริมการทำงานของอินซูลิน
- ช่วยในการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิสำหรับผู้ที่เป็นหมัน อันเนื่องมาจากสเปิร์มไม่มีกำลังในการเคลื่อนที่
คำแนะนำในการรับประทาน
- โดยปกติแล้วในวัยผู้ใหญ่จะต้องการทอรีนวันละประมาณ 125-500 ไมโครโมลต่อกรัม แต่โดยทั่วไปแล้วเรามักจะได้ทอรีนจากการรับประทานอาหารมากเพียงพออยู่แล้วในปริมาณวันละ 40-400 มิลลิกรัม หรือ 100-1,000 ไมโครโมลต่อกรัม
- ทอรีนมีวางจำหน่ายในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งอยู่ในรูปของแคปซูลประมาณ 500 มิลลิกรัม โดยรับประทานก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงพร้อมกับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ก็ได้วันละ 3 เวลา และไม่ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีทอรีนร่วมกับโปรตีนอื่น
- การรับประทานกรดอะมิโนทอรีนร่วมกับกรดอะมิโนซิสทีน จะช่วยทำให้ร่างกายต้องการอินซูลินลดลง
- การปรุงอาหารด้วยวิธีการต้มหรืออบจะทำให้ปริมาณทอรีนลดลงอย่างมาก ซึ่งการนำไปต้มจะสูญเสียทอรีนมากกว่าการอบ (ทอรีนจะลดลงมากกว่า 50%)
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ร่างกายจะต้องการทอรีนมากยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดทอรีน (ซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก)
-
- เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดดำโดยไม่มีกรดอะมิโนทอรีนเป็นเวลานาน
- ผู้ที่อยู่ในสภาวะเจ็บป่วย เช่น ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ ผู้ที่อยู่ในภาวะเจ็บป่วยหนัก
- ผู้ป่วยหลังได้รับเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง
- ผู้ที่มีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง ผู้ที่เป็นแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
- ผู้ที่เป็นมังสวิรัติโดยไม่รับประทานไข่ (ผู้ให้นมบุตรปริมาณของทอรีนในน้ำนมก็น้อยตามไปด้วย)
- ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรังซึ่งไม่สามารถสร้างทอรีนได้
- ผู้ที่เป็นโรคการดูดซึมบกพร่องเรื้อรังจะทำให้สูญเสียทอรีน
- ทารกที่คลอดก่อนกำหนดและตับยังทำงานได้ไม่ดี
- ทารกที่รับประทานนมผงดัดแปลง ซึ่งในสูตรของนมไม่ได้มีการเติมทอรีน
- ผู้ที่ร่างกายขาดเมไธโอนีนและซิสเทอีน
- ผู้ที่ขาด Cystathionase หรือ Cysteine Sulfinic acid Decarboxylase (CSAD) และวิตามินบี6
แหล่งอ้างอิง : วารสารโภชนบำบัด พ.ศ.2547 ปีที่ 15 ฉบับที่ 1
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)