เหรียง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นเหรียง ลูกเหรียง 10 ข้อ !

เหรียง

เหรียง ชื่อสามัญ Nitta tree

เหรียง ชื่อวิทยาศาสตร์ Parkia timoriana (DC.) Merr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Parkia javanica auct., Parkia roxburghii G.Don) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (MIMOSOIDEAE หรือ MIMOSACEAE)

สมุนไพรเหรียง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กะเหรี่ยง เรียง สะเหรี่ยง สะตือ (ภาคใต้), นะกิง นะริง (ภาคใต้-มาเลย์), เรียง เหรียง เมล็ดเหรียงเป็นต้น[1],[2]

เหรียง เป็นพันธุ์ไม้ที่มีเขตการกระจายพันธุ์ในหมู่เกาะติมอร์และในแถบเอเชียเขตร้อน ซึ่งไล่ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศปาปัวนิวกินี ส่วนในประเทศไทยนั้นจะพบขึ้นได้ทั่วไปทางภาคใต้ ไล่ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป โดยมักขึ้นตามป่าดิบชื้น ในระดับพื้นที่ต่ำไปจนถึงพื้นที่สูงถึง 100 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่อาจมีบ้างที่เจริญเติบโตในระดับความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ลักษณะของต้นเหรียง

  • ต้นเหรียง จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีลำต้นเป็นเปลาตรง มีความสูงได้ถึง 50 เมตร มีพูพอนสูงถึง 6 เมตร ลักษณะโดยทั่วไปจะคล้ายคลึงกับสะตอ แต่จะแตกต่างกันตรงที่พุ่มใบของต้นเหรียงมักจะเป็นพุ่มกลม ไม่แผ่กว้างมากนัก และมีพุ่มใบแน่นเป็นสีเขียวทึบกว่าพุ่มใบของสะตอ เปลือกต้นเรียบ ที่กิ่งก้านมีขนปกคลุมขึ้นอยู่ประปราย และเป็นต้นไม้ที่ชอบแสงสว่างและพื้นที่ค่อนข้างชุ่มชื้น มักจะเริ่มผลัดใบในช่วงที่ออกช่อดอก และใบจะหลุดร่วงจนหมดต้นเมื่อผลเริ่มแก่พร้อม ๆ ไปกับใบอ่อนที่จะเริ่มผลิออกมาใหม่ ส่วนวิธีการปลูกต้นเหรียงจะนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดเป็นหลัก นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่น ๆ ได้อีก เช่น การตัดกิ่งปักชำและการติดตา แต่ไม่เป็นที่นิยม[1]

ต้นเหรียง

ต้นลูกเหรียง

  • ใบเหรียง มีก้านใบยาวประมาณ 4-12 เซนติเมตร มีต่อมเป็นรูปมนยาว 3.5-5 มิลลิเมตร อยู่เหนือโคน ส่วนก้านแกนช่อใบจะยาวประมาณ 25-40 เซนติเมตร มีช่อใบแขนงด้านข้างประมาณ 18-33 คู่ ใต้รอยต่อของก้านช่อใบแขนงด้านข้างมักมีต่อมเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 เซนติเมตร ส่วนช่อแขนงยาวประมาณ 7-12 เซนติเมตร ในแต่ละช่อมีใบย่อยประมาณ 40-70 คู่ โดยใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแคบ มีความกว้างประมาณ 5-7 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 1.5-1.8 มิลลิเมตร ส่วนปลายใบแหลมโค้งไปทางด้านหน้า ฐานใบมักยื่นเป็นติ่งเล็กน้อย เส้นแขนงของใบด้านข้างไม่ปรากฏชัดเจน[1]

ใบเหรียง

  • ดอกเหรียง ออกดอกเป็นช่อกลม มีขนาดของดอกกว้างประมาณ 2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกย่อยมีก้านดอกสั้น ๆ และมีใบประดับยาวประมาณ 4-10 มิลลิเมตรรองรับกลีบรอง กลีบดอกของดอกสมบูรณ์เพศเชื่อมติดกันเป็นหลอด โดยจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม[1]

รูปเหรียง

ดอกเหรียงโม่งเหรียง
  • ผลเหรียง หรือ ฝักเหรียง ผลเป็นฝักกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 22-28 เซนติเมตร ตัวฝักตรงไม่บิดเวียนเหมือนกับสะตอบางพันธุ์ และเมล็ดก็ไม่นูนอย่างชัดเจน ฝักเมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะแข็งและมีสีดำ ในแต่ละฝักจะมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปไข่ มีขนาดประมาณ 11 x 20 เซนติเมตร หนึ่งฝักมีเมล็ดประมาณ 20 เมล็ด โดยจะออกผลหรือฝักในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม และฝักจะแก่ในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[2]

ฝักเหรียงรูปฝักเหรียง
  • เมล็ดเหรียง เปลือกเมล็ดหนามีสีดำหรือสีคล้ำ ส่วนเนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน[1],[2]

รูปเมล็ดเหรียงเมล็ดเหรียง
  • ลูกเหรียง หรือ หน่อเหรียง มีลักษณะคล้ายกับถั่วงอกหัวโตแต่จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าและมีสีเขียว มีรสมันและกลิ่นฉุน เกิดมาจากการนำเมล็ดเหรียงของฝักแก่ไปเพาะในกระบะทรายเพื่อให้เมล็ดงอกรากและมีใบเลี้ยงโผล่ขึ้นมาเหมือนกับถั่วงอก จึงจะสามารถนำมารับประทานได้ (เมล็ดเหรียงนั้นมีเปลือกแข็งจึงไม่สามารถรับประทานได้โดยตรง)

ลูกเหรียงหน่อเหรียง

การเพาะลูกเหรียง

วิธีเพาะหน่อเหรียง หรือลูกเหรียง ขั้นตอนแรกให้นำเมล็ดมาตัดเป็นรอยหยักเพื่อช่วยเปิดทางให้แตกหน่อ แล้วนำไปแช่ในน้ำหนึ่งคืน หลังจากนั้นให้นำเมล็ดขึ้นมาล้างเมือกออกแล้วตั้งให้สะเด็ดน้ำ นำไปใส่กระสอบและนำไปล่อนแล้วนำไปใส่ตะกร้า ถัดมาให้นำไปแช่น้ำในตอนเช้า 1 ชั่วโมง แล้วยกขึ้นตั้งไว้และแช่ในน้ำเย็นอีก 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วก็ยกขึ้นตั้งไว้ โดยทำแบบนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน เมื่อถึงเช้าวันที่ 5 ก็ให้นำเมล็ดมาแกะเอาเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปเพาะในกระบะทราย[1]

สรรพคุณของเหรียง

  1. เมล็ดเหรียงมีรสมัน ช่วยบำรุงร่างกาย (เมล็ด)[2]
  2. ช่วยทำให้เจริญอาหารได้ดี (เมล็ด)[3]
  3. ลูกเหรียงมีวิตามินเอ วิตามินซี และแคลเซียม จึงช่วยบำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง
  4. เปลือกและเมล็ดมีคุณค่าทางสมุนไพรที่ดีกว่าสะตอ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เมล็ดเพื่อเป็นยาแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (เมล็ด)[1]
  5. ช่วยขับลมในลำไส้ (เมล็ด)[3]
  6. เปลือกต้นใช้เป็นยาสมานแผล ช่วยลดน้ำเหลือง (เปลือกต้น)[3]

ประโยชน์ของต้นเหรียง

  • ลูกเหรียง หรือหน่อเหรียง หรือเมล็ดเหรียง เกิดจากการเพาะเมล็ดที่เริ่มงอก สามารถนำมารับประทานเป็นผักสดได้เช่นเดียวกับสะตอ แต่เหรียงจะมีรสที่ขมกว่า โดยใช้รับประทานสดแกล้มกับน้ำพริกหรือแกงใต้ หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น การทำแกง แกงหมูลูกเหรียง ผัด หรือจะนำไปทำเป็นผักดองก็ได้[1],[2]
  • ต้นเหรียงมีลำต้นเป็นเปลาตรง มีเนื้อไม้สีขาวนวล ไม่มีแก่น เสี้ยนตรงสม่ำเสมอ มีความอ่อนและเปราะ สามารถเลื่อยผ่าได้ง่าย สามารถนำมาใช้ทำเป็นส่วนประกอบที่มีน้ำหนักเบาหรือเป็นโครงร่างของการผลิตต่าง ๆ เช่น การทำรองเท้าไม้ หีบใส่ของ ไม้หนาประกบพวกเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เครื่องใช้สอยอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แพ และเรือที่ขุดจากต้นไม้[1]
  • เหรียงจัดเป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง จึงมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงดินได้ดี ส่วนของใบเหรียงนั้นมีขนาดเล็กจึงเหมาะแก่การนำมาใช้ปลูกควบคู่ไปกับพืชชนิดอื่น ๆ เช่น การปลูกกาแฟ ก็จะช่วยทำให้ผลผลิตของกาแฟสูงขึ้นติดต่อกัน[1]
  • เนื่องจากต้นเหรียงสามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ในสภาพที่ไม่เหมาะสม จึงนิยมนำต้นเหรียงมาใช้เป็นต้นตอเพื่อใช้ในการติดตาพันธุ์สะตอ[1]

คุณค่าทางโภชนาการของเหรียงในส่วนที่รับประทานได้ ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 88 แคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 6.7 กรัมแกงหมูลูกเหรียง
  • โปรตีน 7.5 กรัม
  • ไขมัน 3.5 กรัม
  • เส้นใยอาหาร 1.3 กรัม
  • น้ำ 79.6 กรัม
  • วิตามินเอ 22 หน่วยสากล
  • วิตามินบี 1 0.06 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.62 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 83 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 182 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 2.0 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 3.8 มิลลิกรัม

แหล่งที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย. ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้ 100 กรัม.[2]

เอกสารอ้างอิง
  1. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช.  “เหรียง“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th.  [25 พ.ย. 2013].
  2. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย. นวัตกรรมการบริหารงานวิจัย การสร้างขุมความรู้เพื่อรองรับการวิจัยเชิงพื้นที่ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง.  “เหรียง“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th.  [25 พ.ย. 2013].
  3. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนครศรีธรรมราช.  “ลูกเหรียง“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.skns.ac.th.  [25 พ.ย. 2013].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by wlcutler, Starr Environmental, ner_luv ©, Shubhada Nikharge, Hesperia2007) www.bloggang.com (by ปลายแป้นพิมพ์)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด