ตะโกนา
ตะโกนา ชื่อสามัญ Ebony[1]
ตะโกนา ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros rhodocalyx Kurz จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)[1]
สมุนไพรตะโกนา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะถ่านไฟผี (เชียงใหม่), นมงัว (นครราชสีมา), ตะโก มะโก พญาช้างดำ พระยาช้างดำ (ภาคเหนือ), โก (ภาคอีสาน), ตองโก (เขมร) เป็นต้น[1],[4],[6]
ลักษณะของตะโกนา
- ต้นตะโกนา จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก รูปทรงพุ่ม มีความสูงของต้นประมาณ 8-15 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีดำ แตกเป็นร่องลึกเป็นสะเก็ดหนา ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด (ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนักเนื่องจากเติบโตได้ช้า) การตอนกิ่ง หรือการขุดล้อมเอามาจากธรรมชาติ เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการแสงแดดแบบเต็มวัน มีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี โดยพบว่ามีเขตการกระจายพันธุ์จากพม่าจนถึงภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นได้ทุกภาคตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าละเมาะ และตามทุ่งนา ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 40-300 เมตร[1],[2],[3],[4],[5],[8]
- ใบตะโกนา ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรีค่อนข้างกลม รูปไข่กลับ หรือรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนกลาย ๆ และรูปป้อม ปลายใบมนมีติ่งสั้นหรือมีรอยหยักเว้าเข้าเล็กน้อย โคนใบเป็นรูปลิ่มหรือป้าน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3-12 เซนติเมตร แผ่นใบค่อนข้างหนาและเหนียว หลังใบเรียบเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน มีเส้นแขนงของใบประมาณ 5-8 คู่ เส้นอ่อนคดไปมามองเห็นได้ทางด้านหลังใบและขึ้นเด่นชัดทางด้านท้องใบ เส้นร่างแหพอสังเกตเห็นได้ทั้งสองด้าน ส่วนเส้นกลางใบออกเป็นสีแดงเรื่อ ๆ และก้านใบสั้นยาวประมาณ 2-7 มิลลิเมตร[1],[2],[12]
- ดอกตะโกนา ออกดอกเป็นช่อ ดอกเป็นแบบแยกเพศและอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้จะออกเป็นช่อเล็ก ๆ ตามกิ่งหรือตามง่ามใบ ในช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยประมาณ 3 ดอก ดอกมีกลีบดอก 4 กลีบ มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ก้านดอกยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร มีขนนุ่ม โดยกลีบดอกจะยาวประมาณ 8-12 มิลลิเมตร เชื่อมติดกันเป็นรูปเหยือกน้ำหรือรูปป้อง ๆ ปลายแยกออกเป็นแฉกเล็ก ๆ เกลี้ยงเกลาทั้งสองด้าน ส่วนกลีบรองดอกยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยปากกว้าง ด้านนอกมีขนนุ่ม ส่วนด้านในมีขนยาว ๆ แน่น ดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 14-16 ก้าน มีขนแข็ง ๆ แซม รังไข่เทียมมีขนแน่น ส่วนดอกเพศเมียจะออกตามซอกใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกจะเหมือนกับดอกเพศผู้แต่มีขนาดใหญ่กว่า ก้านดอกยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร รังไข่มีลักษณะป้อม มีขนเป็นเส้นไหมคลุม ภายในแบ่งเป็นช่อง 4 ช่อง ในแต่ละช่องจะมีไข่อ่อนหนึ่งหน่วย ส่วนหลอดท่อรังไข่มีหลอดเดียวและมีขนแน่น ปลายหลอดแยกเป็นแฉก 2 แฉก มีเกสรเพศผู้เทียมประมาณ 8-10 ก้าน มีขนแข็ง ๆ แซมอยู่ โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[3],[12]
- ผลตะโกนา ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.2-2.4 เซนติเมตร (บ้างว่าประมาณ 3 เซนติเมตร) ผิวผลเรียบ ผลอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงคลุมอยู่หนาแน่น ซึ่งขนเหล่านี้มักหลุดร่วงได้ง่าย ส่วนปลายผลและโคนผลมักบุ๋ม กลีบจุกผลชี้ออกหรือแนบลู่ไปตามผิวของผล ข้างในมีขนสีน้ำตาลแดงและมีขนนุ่มทางด้านนอกพื้นกลีบและขอบกลีบมักเป็นคลื่น เส้นสายกลีบพอเห็นได้ชัด ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือแดงปนส้ม ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 3-5 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่รีหรือแบน เมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อหุ้มสีขาวและฉ่ำน้ำ มีขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร ส่วนก้านผลสั้นมาก มีความยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[3],[4],[12]
สรรพคุณของตะโกนา
- เปลือกต้นหรือแก่นใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีอายุยืนยาว (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[4],[6],[13] ตำรายาไทยจะใช้เปลือกต้นตะโกนา เถาบอระเพ็ด ผสมกับเปลือกทิ้งถ่อน เมล็ดข่อ ผลพริกไทยแห้ง และหัวแห้วหมู อย่างละเท่ากันนำมาต้มกับน้ำดื่มหรือดองกับเหล้าดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ (เปลือกต้น)[2]
- แก่นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[4],[6],[9],[13]
- เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยบำรุงกำลัง (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[9],[13] บำรุงร่างกาย (เปลือก)[13]
- ช่วยทำให้เจริญอาหาร (เปลือก)[13]
- แก่นและเปลือกใช้เข้ายารักษามะเร็ง (แก่น, เปลือก)[13]
- ผลนำมาตากแดด ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กษัย (ผล)[4],[6],[13] บ้างว่าใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก)[10]
- ช่วยแก้โรคผอมแห้งหลังการคลอดบุตรเนื่องมาจากอยู่ไฟไม่ได้ (ราก)[13]
- ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ (ผล)[1],[2] แก้อาเจียนเป็นโลหิต (ผล)[13]
- ต้นใช้เป็นยาแก้ไข้ (ต้น)[13]
- ราก ต้น และแก่นเป็นยาแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ จากการกินของแสลงที่เป็นพิษ (ราก, ต้น, แก่น)[13]
- ช่วยแก้พิษผิดสำแดง (ต้น)[13]
- เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยแก้อาการร้อนในได้ (เปลือกต้น)[9] บ้างว่าใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก)[10]
- เปลือกต้นหรือแก่นนำมาต้มกับเกลือใช้อมรักษาโรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ (โรคที่มีอาการอักเสบของอวัยวะรอบ ๆ ฟัน) (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[4],[6],[13]
- เปลือกต้นหรือแก่นนำมาต้มกับเกลือใช้อมแก้อาการปวดฟัน (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[4],[6],[13]
- ผลมีรสฝาดหวาน ช่วยแก้อาการมวนท้อง (ผล)[4],[6],[13]
- ผลเอามาตากแดด ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย (ผล)[1],[2],[4],[13] ส่วนเปลือกผลใช้แก้อาการท้องร่วง (เปลือกผล)[13] แก้บิดบวมเป่ง (ผล)[13]
- ช่วยขับน้ำย่อย ช่วยในการย่อยอาหาร (แก่น, เปลือกต้น)[4],[6],[13]
- ใช้เป็นยาแก้พยาธิ ขับพยาธิ (ใช้ผลต้มกับน้ำดื่ม)[1],[4],[6],[13]
- เปลือกผลนำมาเผาจนเป็นถ่าน ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะ (เปลือกผล[1],[2],[4],[13], เปลือกต้น[13], แก่น[13])
- แก่นหรือเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคกามตายด้าน บำรุงความกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแข็งแรง (แก่น, เปลือกต้น)[1],[2],[5],[6],[9],[10],[13]
- เปลือกผลนำมาเผาจนเป็นถ่าน ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับระดูขาวของสตรี ส่วนเปลือกต้นหรือแก่นก็ขับมุตกิดระดูขาวได้ด้วยเช่นกัน (แก่น, เปลือกต้น, เปลือกผล)[1],[2],[4],[13] บ้างว่าผลก็เป็นยาขับระดูขาวเช่นกัน (ผล)[13]
- ผลช่วยแก้อาการปวดมดลูก (ผล)[13]
- แก้ตกเลือด (ผล)[4],[6],[13]
- รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไตพิการ น้ำเหลืองเสีย (ราก)[10]
- ผลใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง (ผล)[13]
- ต้นช่วยแก้ผื่นคัน (ต้น)[13] ผลช่วยแก้ตุ่มคันเป็นเม็ดผื่นคันตามตัว (ผล)[13]
- ผลใช้เป็นยาเย็นถอนพิษ (ผล)[13]
- ผลใช้เป็นยาแก้แผล สมานแผล ช่วยแก้แผลเน่าเปื่อย ฝีเน่าเปื่อย ช่วยปิดธาตุ (ผล)[1],[2],[4],[6],[13]
- ช่วยแก้บวม ฝีบวม (ผล)[1],[2],[13]
- รากตะโกนาใช้ต้มกับน้ำดื่มแก้โรคเหน็บชา อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย (ราก)[10] ส่วนตำรับยาพื้นบ้านของอีสานนั้นจะใช้รากตะโกผสมกับรากมะเฟืองเปรี้ยว รากเครือปลาสงแดง และรากตีนนก นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย[11]
- รากและต้นช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี (ราก, ต้น)[13]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตะโกนา
- สารสำคัญของตะโกนา ได้แก่ Betulin, Betulinic acid, B-sitosterol, Lupenone, Lupeol, Stigmast-4-en-3-one, Stigmast4-en-3-one 1 –O-ethyl-B-D-glucopyrahoside, Stigmast-4-en-3-one 1-O-ethyl-B-D-glucoside, Stigmasterol, Taraxerol, Taraxerol acetate, และ Taraxerone.[13]
- ตะโกนามีฤทธิ์กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ โดยออกฤทธิ์เหมือนฮิสตามีน ยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase[13]
ประโยชน์ของตะโกนา
- ผลสุกของตะโกนาสามารถใช้รับประทานได้ โดยจะมีรสหวานฝาด[3] บ้างว่านำผลมารับประทานโดยนำมาทำเหมือนกับส้มตำ โดยคุณค่าทางโภชนาการของผลตะโกนาต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย พลังงาน 99 แคลอรี, คาร์โบไฮเดรต 24.5 กรัม, น้ำ 73.6 กรัม, เส้นใย 1.5 กรัม, โปรตีน 0.3 กรัม, วิตามินบี 2 1.37 มิลลิกรัม, วิตามินซี 79 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 19 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม และธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม[12]
- ต้นตะโกจะออกผลดกทุกปี จึงเป็นอาหารให้แก่สัตว์ได้จำนวนมาก[5]
- ผลอ่อนหรือผลดิบใช้สำหรับย้อมสีผ้า แห อวน มาตั้งแต่โบราณ โดยสีที่ได้คือสีน้ำตาล แต่คุณภาพจะไม่ดีมากนัก เพราะสีของเส้นไหมจะตกและไม่ทนทานต่อแสง และคุณภาพที่ได้จะไม่ดีเท่ากับมะพลับ[3],[5],[7] โดยยางของลูกตะโกที่นำมาละลายน้ำใช้สำหรับการย้อมแหและอวนนั้น จะมีราคาถูกกว่ายางมะพลับ จึงมีพ่อค้าหัวใสนำยางของผลตะโกมาปลอมขายเป็นยางมะพลับ จึงเกิดคำพังเพยที่ว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก”[10]
- เนื้อไม้เป็นสีขาวหรือออกสีน้ำตาลอ่อน มีความแข็งแรง มีความเหนียว เนื้อค่อนข้างละเอียด สามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องมือทางการเกษตร เช่น ทำเสา รอด ตง คาน ฯลฯ[3],[5]
- ต้นตะโกเป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมปลูกเพื่อใช้นำมาทำไม้ดัดมากที่สุด ใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวนหรือสนามหญ้า เพราะมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ง่ายต่อการเพาะเลี้ยงและบำรุงรักษา[5],[8]
- เนื่องจากต้นตะโกเป็นไม้ที่มีอายุยืน และทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี เชื่อว่าเป็นไม้มงคล หากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีความอดทนเหมือนต้นตะโก[8]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ตะโกนา (Tako Na)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 118.
- หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “ตะโกนา”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 96.
- ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตะโกนา”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [8 มี.ค. 2014].
- ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ตะโก”. (ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [8 มี.ค. 2014].
- ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [8 มี.ค. 2014]
- สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ตะโกนา”. (ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [8 มี.ค. 2014].
- พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ, กรมหม่อนไหม. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th/webtreecolor/. [8 มี.ค. 2014].
- ๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [8 มี.ค. 2014].
- หนังสือรักษาโรคด้วยสมุนไพร. “ตะโกนา”. (ยุวดี จอมพิทักษ์).
- ไทยโพสต์. “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ไม้ร่วมวงศ์เด่นแก้กามตายด้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [8 มี.ค. 2014].
- ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เครือปลาสงแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [8 มี.ค. 2014].
- ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ตะโกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [8 มี.ค. 2014].
- สมุนไพรในร้านยาโบราณ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “โกนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.msu.ac.th. [8 มี.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.bedo.or.th, pharmacy.mahidol.ac.th/siri/, pantip.com (by p_warat), baanmaha.com (by คนตระการ…), khontone.com (HS4MM), phuketthaitraditionalmedicinecenter.blogspot.com, baanlaesuan.com (by นายต้นไม้)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)