ตะคร้ำ
ตะคร้ำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Garuga pinnata Roxb. จัดอยู่ในวงศ์มะแฟน (BURSERACEAE)[1]
สมุนไพรตะคร้ำ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า อ้อยน้ำ (จันทบุรี), กะตีบ แขกเต้า ค้ำ หวีด (ภาคเหนือ), คร้ำ ตำคร้ำ (ไทย), เก๊าค้ำ ไม้หวิด ไม้ค้ำ (คนเมือง), ไม้ค้ำ (ไทใหญ่), ปีซะออง ปิชะยอง (กะเหรี่ยง-จันทบุรี), กระโหม๊ะ (ขมุ), ลำคร้ำ ลำเมาะ (ลั้วะ), เจี้ยนต้องแหงง (เมี่ยน) เป็นต้น[1],[2],[4]
ลักษณะของตะคร้ำ
- ต้นตะคร้ำ จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง ลำต้นเปลาตรง มีความสูงได้ประมาณ 10-20 เมตร เมื่อโตวัดรอบ 100-200 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขารอบ ๆ เรือนยอดของต้น โคนต้นเป็นพูพอน ตามกิ่งอ่อนและก้านช่อดอกมีขนสีเทาขึ้นปกคลุมกระจายอยู่ทั่วไป และมีรอยแผลใบปรากฏอยู่ตามกิ่ง เปลือกต้นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลปนเทาแตกเป็นสะเก็ดหรือเป็นหลุมตื้น ๆ ทั่วไป ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีนวล มีทางสีชมพูสลับ และมียางสีชมพูปนแดงไหลออกเมื่อสับดู โดยยางนี้หากทิ้งไว้นาน ๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองคล้ำ ส่วนกระพี้จะเป็นสีชมพูอ่อน ๆ และมีแก่นเป็นสีน้ำตาลแดง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เป็นไม้กลางแจ้ง ในประเทศไทยพบขึ้นตามที่ราบตามป่าโปร่ง ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งในที่ค่อนข้างราบและใกล้ลำห้วยทั่วไป ป่าดิบเขา และตามป่าเบญจพรรณชื้น ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 50-800 เมตร ส่วนในต่างประเทศพบได้ที่ประเทศอินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้[1],[2],[3],[5]
- ใบตะคร้ำ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงเวียนสลับเป็นกระจุกบริเวณปลายกิ่ง ก้านช่อหนึ่งจะมีใบย่อยประมาณ 7-13 ใบ ออกเรียงตรงข้ามหรือทแยงกันเล็กน้อย และยาวประมาณ 10-12 นิ้ว ตรงปลายก้านจะมีใบเพียงใบเดียว ลักษณะของใบเป็นรูปมนรีหรือรูปวงรีแกมขอบขนาน ปลายใบสอบหรือหยักเป็นติ่งแหลม โคนใบแหลมหรือมนเบี้ยว ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-10 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียว มีเส้นแขนงใบประมาณ 10-12 คู่ ใบอ่อนมีขนขึ้นปกคลุม ส่วนใบแก่จะเกลี้ยงหรือเกือบเกลี้ยง ก้านใบสั้นมาก ใบแก่จะร่วงก่อนการผลิดอก และจะเริ่มผลิใบใหม่เมื่อดอกเริ่มบาน[1],[2],[3],[5]
- ดอกตะคร้ำ ออกดอกเป็นช่อใหญ่บริเวณปลายกิ่งหรือส่วนยอดของต้น ช่อดอกยาวประมาณ 6 นิ้ว ดอกย่อยมีจำนวนมาก เป็นดอกแบบสมบูรณ์ ลักษณะของดอกเป็นรูประฆัง กลีบรองกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5 แฉก ลักษณะของกลีบรองกลีบดอกเป็นรูปสามเหลี่ยม ขนาดประมาณ 1.5-2.5 มิลลิเมตร ส่วนกลีบดอกเป็นสีครีม สีเหลือง สีเหลืองอ่อน หรือสีชมพู มี 5 กลีบ ออกเรียงสลับกับกลีบเลี้ยง ลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ยาวประมาณ 2.5-3.5 มิลลิเมตร มีขน ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มีเกสรเพศผู้ 10 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ยาวประมาณ 5-7 มิลลิเมตร รังไข่มี 5 ช่อง แต่ละช่องจะมีไข่อ่อน 2 ใบ ปลายหลอดท่อรังไข่มี 5 แฉก ก่อนจะออกดอกจะผลัดใบหมด โดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[3],[5]
- ผลตะคร้ำ ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม อวบน้ำ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ภายใน สีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลมีเนื้อนุ่มแต่ภายในมีผิวแข็งหุ้ม จะเป็นผลในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[3],[5]
สรรพคุณของตะคร้ำ
- ผลตะคร้ำ มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุหรือบำรุงกระเพาะอาหาร (ผล)[1],[2]
- ต้นสดนำมาคั้นเอาน้ำใช้หยอดตา แก้ตามัวเนื่องจากเยื่อตาอักเสบ (ต้น)[1],[2]
- ตำรายาไทยจะใช้น้ำคั้นจากใบตะคร้ำ นำมาผสมกับน้ำผึ้ง ใช้เป็นยารักษาโรคหืด (ใบ)[1],[2]
- ใช้เป็นยาแก้บิด แก้ท้องร่วง ด้วยการใช้เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำกินหรือนำมาบีบเพื่อเอาน้ำกินเป็นยา (เปลือกต้น)[1],[2]
- เปลือกต้นใช้ฝนใส่น้ำร่วมกับเปลือกต้นมะกอกและตะคร้อ ใช้ดื่มเป็นยาแก้อาการปวดท้อง (เปลือกต้น)[4]
- เปลือกต้นใช้ต้มอาบสำหรับสตรีหลังคลอด (เปลือกต้น)[5]
- เปลือกต้นใช้ภายนอกเป็นยาทาห้ามเลือด (เปลือกต้น)[1],[2]
- เปลือกต้นนำมาแช่กับน้ำใช้ล้างแผลเรื้อรังได้ดีมาก (เปลือกต้น)[1],[2]
- ชาวเขาเผ่าอีก้อจะใช้เปลือกต้นตะคร้ำ นำมาตำพอกหรือต้มกับน้ำอาบเป็นยาแก้อักเสบ บวม ติดเชื้อ แผลเป็นหนอง ฝีหรือตุ่ม (เปลือกต้น)[1]
- คนเมืองจะใช้เปลือกต้นนำมาแช่กับน้ำ ให้เด็กทารกอาบ ป้องกันไม่ให้ผิวหนังมีผื่นหรือตุ่มขึ้น[4]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของตะคร้ำ
- สารสกัดจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วและกล้ามเนื้อเรียบเกร็งในหลอดทดลอง[1]
ประโยชน์ของตะคร้ำ
- ผลสุกใช้รับประทานได้[4]
- ชาวขมุจะใช้เปลือกต้นตะคร้ำนำมาขูดใส่ลาบ[4]
- ใบใช้มัดเสาเอกของบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลในการช่วยค้ำชู (คนเมือง)[4]
- เนื้อไม้ตะคร้ำ สามารถนำมาใช้ในการสร้างบ้านเรือ ทำเครื่องตกแต่งบ้าน เครื่องเรือน ทำฝา หีบหรือลังใส่ของได้[3],[4]
- ผลใช้ย้อมตอกให้สีดำ[5]
- เปลือกต้น ให้น้ำฝาดชนิด Pyrogollol และ Catechol[3]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ตะคร้ำ”. หน้า 115.
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ตำคร้ำ”. หน้า 303-304.
- สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ตะคร้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/. [21 ธ.ค. 2014].
- โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ตะคร้ำ, หวีด”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม), หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์ (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [21 ธ.ค. 2014].
- ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตะคร้ำ”. อ้างอิงใน : หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [21 ธ.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Dinesh Valke, Shubhada Nikharge, Vijayasankar Raman)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)