ขจร สรรพคุณและประโยชน์ของดอกขจร 24 ข้อ ! (ผักสลิด, ดอกสลิด)

ขจร สรรพคุณและประโยชน์ของดอกขจร 24 ข้อ ! (ผักสลิด, ดอกสลิด)

ขจร

ขจร ชื่อสามัญ Cowslip creeper[1],[2]

ขจร ชื่อวิทยาศาสตร์ Telosma cordata (Burm. f.) Merr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Telosma minor (Andrews) W. G. Craib) จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE – ASCLEPIADACEAE)[1],[2]

ผักขจร มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า สลิด ขจร (ภาคกลาง), ผักสลิด (นครราชสีมา), กะจอน, ขะจอน, สลิดป่า, ผักสลิดคาเลา, ผักขิก เป็นต้น[1],[2],[5]

ลักษณะของขจร

  • ต้นขจร หรือ ต้นสลิด มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและอินเดีย โดยจัดเป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้ชนิดอื่น สามารถเลื้อยพันไปได้ไกลประมาณ 2-5 เมตร เถามีขนาดเล็ก ลักษณะกลมเหนียวมากและเป็นสีเขียว เมื่อแก่เถาขจรจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ตามยอดอ่อนมีขนสีขาวขึ้นปกคลุม แตกใบเป็นพุ่มแน่นและทึบ ทำให้บางครั้งพุ่มของของต้นขจรจะแผ่ปกคลุมต้นไม้อื่นได้มิดเลยทีเดียว ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำและวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ชอบแสงแดดจัด สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยจะขึ้นได้ตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง[1],[2],[5],[7],[8]

ต้นขจร

  • ใบขจร หรือ ใบสลิด ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจ คล้ายใบโพธิ์หรือใบพลู ปลายใบเรียวแหลมยาวเป็นติ่ง (คล้ายใบต้นข้าวสาร) โคนใบมนเว้า ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-7.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-11 เซนติเมตร หลังใบและท้องใบเรียบ แผ่นใบบาง เกลี้ยง ไม่มีจัก จะเห็นเส้นใบชัด หน้าใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบเป็นสีเขียวอมสีแดงเล็กน้อย ส่วนก้านใบยาวประมาณ 1.2-2 เซนติเมตร[1],[2],[7]

ใบสลิดใบขจร
  • ดอกขจร หรือ ดอกสลิด ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกตามหรือออกเป็นพวง ๆ คล้ายพวงอุบะตามซอกใบหรือโคนก้านใบ โดยในช่อดอกหนึ่ง ๆ จะมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 10-20 ดอก ดอกย่อยมีลักษณะแข็งเป็นสีเขียวอมสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม (หอมแรงกว่าดอกชำมะนาดหรือกลิ่นของใบเตย โดยจะหอมมากในช่วงเย็นถึงกลางคืน) มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 1.5 เซนติเมตร กลีบดอกมี 5 กลีบ ส่วนโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ๆ กลีบดอกย่นและบิด ปลายแยกเป็นแฉกแหลม 5 แฉก ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 ก้าน ติดอยู่บนหลอดกลีบดอก เชื่อมติดกันเองและเชื่อมติดกับยอดเกสรเพศเมีย แล้วจะเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นชั้นกระบังรอบ ล้อมรอบก้านยอดเกสเพศเมียและเกสรเพศเมียเอาไว้ และมีชุดกลุ่มเรณูอยู่ 5 ชุด ซึ่งมีลักษณะการเกิดคล้ายกับในดอกรัก เกสรเพศเมียจะมีรังไข่ 2 อัน แต่มีก้านยอดเกสรเพศเมียและยอดเกสรเพศเมียร่วมกัน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียว มี 5 กลีบ แยกจากกันเป็นอิสระ โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม บ้างว่าจะออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม[1],[2],[4],[5],[6],[7],[8]

ดอกขจร

ผักสลิดขจร
  • ผลขจร หรือ ฝักขจร ผลมีลักษณะเป็นฝักกลมยาวปลายแหลม (คล้ายฝักนุ่นที่ยังเล็ก) ผิวผลเรียบ ผลเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะแตกออกตะเข็บเดียว ภายในผลหรือฝักมีเมล็ดลักษณะแบนจำนวนมาก และมีปุยสีขาวติดอยู่ที่ปลายเมล็ด เมล็ดปลิวว่อนคล้ายกับนุ่นที่มีเมล็ดเกาะติดกับใยสีขาว โดยจะออกผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม[1],[2],[5]

สรรพคุณของขจร

  1. ช่วยบำรุงโลหิต (ดอก, ยอดใบอ่อน)[3],[7],[9]
  2. ช่วยรักษาโลหิตเป็นพิษ (ราก)[9]
  3. ช่วยบำรุงหัวใจ (ดอก, ยอดใบอ่อน)[9]
  4. แก่นและเปลือกใช้เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (แก่น, เปลือก)[4]
  5. ดอกและยอดใบอ่อนมีวิตามินสูง การรับประทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี (ดอก, ยอดใบอ่อน)[7],[8],[9]
  6. ช่วยรักษาหวัดที่เกิดจากการตากลมหรือตากอากาศเย็น (ดอก)[7]
  7. ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน (ดอก)[7]
  8. รากมีรสเบื่อเย็น ใช้รับประทานเพื่อให้เกิดอาการอาเจียน ช่วยถอนพิษยาเยื่อเบา (ราก)[1],[3],[7],[9]
  9. รากนำมาฝนหยอดตาแก้ตาอักเสบ ตาแดง ตาแฉะ ตามัว (ราก)[1] บ้างว่านำมาใช้ผสมกับยาหยอดตาแล้วใช้หยอดตา (ราก)[3]
  10. ช่วยขับเสมหะ แก้เสมหะและโลหิต (ดอก)[1],[3],[7]
  11. ดอกมีรสเย็นขมและหอม ช่วยบำรุงปอด (ดอก)[1],[3]
  12. ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ (ดอก)[7]
  13. ช่วยในการขับถ่าย (ดอก)[8]
  14. ช่วยบำรุงฮอร์โมนของสตรี (ดอก)[7]
  15. ช่วยบำรุงตับและไต (ดอก, ยอดใบอ่อน)[3],[7],[9]
  16. รากใช้เป็นยาดับพิษทั้งปวง (ราก)[1],[7],[9]
  17. ช่วยทำให้รู้รสชาติของอาหารและช่วยดับพิษยา (ราก)[3]
  18. ดอกใช้เข้าเครื่องยาหอม[1]

ข้อควรระวัง ! : ลำต้นเป็นพิษต่อสุกร[1]

ประโยชน์ของขจร

  1. ยอดอ่อน ผลอ่อน และดอกใช้รับประทานเป็นผักสด หรือนำมาต้มหรือลวกให้สุกใช้รับประทานร่วมกับน้ำพริก ส่วนดอกยังสามารถนำไปปรุงอาหารได้อีกหลายเมนู เช่น แกงส้มดอกขจร แกงจืดดอกขจร แกงเลียง ขจรผัดไข่ ขจรชุบแป้งทอด ยำดอกขจร ข้าวต้มดอกขจร ผัดน้ำมันหอย ผัดกับปลาหมึก เป็นต้น (ยอดอ่อนคือส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด)[2],[5],[7]
  2. ในสมัยก่อนจะนำดอกขจรมานึ่งให้สุก ผสมกับมะพร้าวอ่อนหรือมะพร้าวแก่ขูดฝอย นำมาปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย งา และเกลือเล็กน้อย ใช้ทำเป็นขนมที่เรียกว่า “ขนมดอกขจร” แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยพบว่ามีขายแล้ว[3]
  3. ดอกสวยของขจร นอกจากจะรับประทานเป็นผักได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในงานดอกไม้สด ด้วยการนำไปร้อยอุบะติดชายมาลัยหรือเครื่องแขวนต่าง ๆ ได้อีกด้วย[9]
  4. เถาของต้นขจรมีความเหนียวมาก สามารถนำมาใช้แทนเชือกได้[7]
  5. นอกจากจะปลูกเพื่อนำดอกมารับประทานแล้ว ก็ยังสามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้อีกด้วย[4],[9]
  6. บ้างระบุว่าเนื้อไม้สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างได้[4]

ผักขจรขจรผัดไข่

คุณค่าทางโภชนาการของขจรในส่วนที่รับประทานได้ ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 72 แคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 10.6 กรัมสลิด
  • โปรตีน 5.0 กรัม
  • ไขมัน 1.1 กรัม
  • ใยอาหาร 0.8 กรัม
  • น้ำ 80.5 กรัม
  • เถ้า 1.0 กรัม
  • วิตามินเอ 3,000 หน่วยสากล (บ้างว่า 3,150 หน่วยสากล[7])
  • วิตามินบี 1 0.04 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.12 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 0.17 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 68 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 70 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 1.0 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 90 มิลลิกรัม

แหล่งที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย. ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้ 100 กรัม.[2]

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  “ขจร (Kha Chon)”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 56.
  2. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร.  “ขจร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/.  [07 ก.พ. 2014].
  3. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่.  “ขนุนและขจร”.  (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th.  [07 ก.พ. 2014].
  4. กรุ่นกลิ่นดอกไม้ในโคราช, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา.  “ขจร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.nrru.ac.th.  [07 ก.พ. 2014].
  5. สถานบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.).  “ขจร”.
  6. หน่วยปฏิบัติการวิจัยพรรณไม้ประเทศไทย ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  “สลิด ขจร (Telosma monor Craib)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.sc.chula.ac.th/thaiplants/.  [07 ก.พ. 2014].
  7. เดอะแดนดอทคอม.  “ดอกขจร”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.the-than.com.  [07 ก.พ. 2014].
  8. Tree2go.  “ขจร Telosma minor Craib อร่อย”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.tree2go.com.  [07 ก.พ. 2014].
  9. มติชนออนไลน์.  “ดอกขจร”.  (จอม ณ คลองลึก).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.matichon.co.th.  [07 ก.พ. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Ahmad Fuad Morad, FotoosVanRobin, Pankaj Oudhia, LennyWorthington, SierraSunrise)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด