จัดฟัน
การจัดฟัน (Orthodontic) คือ สาขาหนึ่งทางทันตกรรมที่แยกเฉพาะทางออกมาเพื่อวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาความผิดปกติของการขึ้นของฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมและมีระบบบดเคี้ยวดีขึ้น รวมทั้งการรักษา โดยจะเป็นการใช้เครื่องมือจัดฟันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและสบฟันผิดปกติ ดูไม่สวยงาม ดูไม่เป็นระเบียบ รวมถึงโครงสร้างและรูปร่างของใบหน้า เช่น หน้าอูม คางยื่น ให้มีโครงสร้างและรูปร่างใบหน้าที่ดีและสวมงามขึ้น ซึ่งเครื่องมือจัดฟันที่ใช้จะช่วยเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมได้ เพื่อประโยชน์ในด้านสุขภาพช่องปากและฟัน และเพื่อบุคลิกภาพที่ดีขึ้นของผู้จัดฟัน สามารถทำได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 10-14 ปี เนื่องจากร่างกายกำลังเจริญเติบโต ฟันจึงเคลื่อนที่ได้ง่าย
ข้อดีของการจัดฟัน
- เพื่อความสวยงามและเพื่อบุคลิกภาพที่ดีขึ้น ฟันดูสวยงาม ยิ้มสวยมากขึ้น ยิ่งในยุคนี้ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ล้วนแล้วแต่มีเกณฑ์การคัดเลือกในเรื่องของบุคลิกกันทั้งสิ้น ผู้ที่มีบุคลิกที่ดีกว่าย่อมมีโอกาสได้รับการคัดเลือกมากกว่า การมีรอยยิ้มที่สวยงามจะทำให้เจ้าของรอยยิ้มมีบุคลิกที่ดี กล้าแสดงออก และมีเสน่ห์ ทำให้อยู่ในสภาวะสังคมปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ๆ ได้อย่างมีคุณภาพ การจัดฟันจึงถือเป็นเรื่องที่น่าลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคุณ
- เพื่อให้ฟันทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีการสบฟันที่ดีขึ้น และเคี้ยวอาหารได้ดีกว่าเดิม
- เพื่อสุขภาพที่ดีของช่องปากและฟัน เพราะหากมีปัญหาฟันซ้อนเก ฟันยื่น ฯลฯ จะทำให้การทำความสะอาดฟันเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง และมักเกิดปัญหาฟันผุตามมา เมื่อจัดฟันให้เข้าที่เข้าทางแล้ว การทำความสะอาดก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้
- ช่วยลดการมีกลิ่นปาก เนื่องจากการแปรงฟันไม่สะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ฟันเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ การจัดฟันอาจช่วยลดปัญหากลิ่นปากได้เป็นอย่างดี
- บางคนจัดฟันแล้วนิสัยรักษาความสะอาดและความมีระเบียบวินัยจะมีมากขึ้นจนติดเป็นนิสัย
- ในบางรายจัดแล้วโครงหน้าอาจเข้ารูปและดูดีมากขึ้น หรือหน้าดูเรียวมากขึ้น
- การจัดฟันเป็นแฟชั่นที่ทำแล้วดูไม่น่าเกลียด จัดแล้วดูน่ารัก และช่วยเพิ่มจุดเด่นให้คนอื่นจำเราได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
- ช่วยดัดนิสัยการรับประทานอาหารทางอ้อม จัดฟันแล้วนึกจะกินอะไรก็กินได้เลยเหมือนแต่ก่อนคงทำไม่ได้แล้ว
- ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องฟันห่างหรือฟันมีลักษณะการสบฟันหน้าแบบสบเปิด (กัดเส้นก๋วยเตี๋ยวไม่ขาด) หลังจัดฟันเสร็จแล้ว จะช่วยให้มีการออกเสียงพูดได้ถูกต้องและชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเสียง “ส.เสือ”
ข้อเสียของการจัดฟัน
- การจัดฟันไม่ว่าแบบถูกหรือแพง แต่ยังไงก็แพงอยู่ดี
- ในบางรายต้องถอนฟัน (สมบูรณ์) ออกไปหลายซี่
- ปากห้อยมากขึ้น (อมเหล็ก) ในช่วงแรก ๆ จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่รูปปากของแต่ละคนด้วย
- เจ็บมาก เจ็บน้อย ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดฟันที่เลือก แต่ยังไงก็เจ็บอยู่แล้ว จะเจ็บตอนถอนฟัน ดึงลวด หรือลวดบาดปากก็แล้วแต่กรณี
- ใช้เวลานานกว่าฟันจะเริ่มเข้าที่เข้าทางอย่างน้อยประมาณ 2 ปี
- ในขณะติดเครื่องมือจัดฟันจะทำความสะอาดฟันได้ยาก และเสี่ยงต่อฟันผุได้ถ้าไม่ดูแล
- อาหารอาจติดเหล็กจัดฟันได้บ่อย สำหรับผู้หญิงการพกกระจกติดตัวไว้ตลอดเวลาจะช่วยได้เยอะ
- พูดไม่ชัดบ้างในระยะแรกหลังการจัดฟัน
- ในกรณีที่จัดฟันด้านนอกแบบธรรมดา หลังแกะเครื่องมือออก ผิวฟันอาจไม่เรียบ
- ตอนใส่รีเทนเนอร์ อาจจะน่ารำคาญสุด ๆ สำหรับบางคน ไม่ใส่นาน ๆ ก็ไม่ได้ เพราะฟันจะเคลื่อน ฟันห่างหรือล้ม ไม่แข็งแรง แค่ไม่ใส่วันสองวัน มาใส่อีกทีก็เจ็บจะแย่แล้ว บางคนกับถึงต้องจัดฟันใหม่อีกรอบก็มี
- บางทีมันก็เป๊ะเกินไป อย่างบางคนก่อนจัดฟัน มีฟันเกแบบเบี้ยวเสน่ห์ คนเห็นแล้วจำได้ แต่พอจัดเสร็จ ฟันเรียงสวยงาม คนกลับจำหน้าไม่ได้ นี่แหละเสน่ห์ที่หายไป
- บางรายอาจรู้สึกว่าฟันอ่อนแอมาก เคี้ยวอะไรแข็ง ๆ ได้ไม่ดีเท่าเดิม
- บางรายจัดฟันเสร็จแล้วหน้าดูตอบ
- ต้องไปพบทันตแพทย์เป็นประจำ
ขั้นตอนการจัดฟัน
- หลัก ๆ แล้วในขั้นตอนการจัดฟันทั่วไป ก่อนอื่นผู้เข้ารับบริการจะต้องทำการนัดหมายทันตแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาและวางแผนในการรักษา
- ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์แบบฟัน เพื่อบันทึกรายละเอียด ตรวจสภาพการสบฟัน และมีการเอกซเรย์ฟันเพื่อดูโครงสร้างของใบหน้าและขากรรไกร
- ตรวจฟันก่อนว่าจะต้องทำการรักษาฟันก่อนหรือไม่ เช่น ถอนฟัน อุดฟัน รักษาโรคเหงือก รากฟัน ฯลฯ เพราะจำเป็นต้องรักษาให้หายก่อนใส่เครื่องมือจัดฟัน ทั้งนี้เพื่อความแข็งแรงและเพื่อให้การจัดฟันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ฟังคำแนะนำ ข้อควรปฏิบัติต่าง ๆ และตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดฟันกับทันตแพทย์
- ทันตแพทย์จะติดเครื่องมือจัดฟันให้ ในช่วงแรกจะรู้สึกเจ็บบ้าง (ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดฟันด้วย) แต่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์
ใครบ้างที่ควรจัดฟัน
มีเพียงทันตแพทย์เท่านั้นที่จะสามารถตัดสินใจได้ว่าคุณควรจัดฟันหรือไม่ โดยวิเคราะห์จากการวินิจฉัยด้วยประวัติการรักษาทางการแพทย์และทันตกรรม แบบพิมพ์ฟันของคุณ และภาพเอกซเรย์ แต่คุณอาจต้องเข้ารับการจัดฟัน หากคุณมีปัญหาดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีฟันบนยื่นออกมาข้างหน้ามาก
- ผู้ที่มีฟันล่างยื่นออกมาข้างหน้ามาก
- ฟันห่าง มีช่องว่างระหว่างฟันอันเกิดจากการหลุดของฟันหรือฟันที่ยังขึ้นไม่เต็ม
- ฟันซ้อนเก ฟันที่ขึ้นมามากเกินไปจนเกทับกัน
- ฟันกัดคร่อม โดยฟันบนไม่สามารถขบได้พอดีกับฟันล่าง มีลักษณะขบแบบไขว้
- ฟันกัดเบี้ยว จุดศูนย์กลางของฟันบนไม่ตรงกับฟันล่าง
- ฟันสบเปิด เมื่อขบฟันแล้วมีช่องว่างเปิดระหว่างฟันบนกับฟันล่าง
ระยะเวลาในการจัดฟัน
โดยปกติแล้วการจัดฟันจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง – 3 ปี แต่ในบางรายอาจใช้เวลานานมากกว่านั้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของฟันด้วยว่ามีมากน้อยเพียงใด และขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากผู้จัดฟันด้วยเป็นสำคัญ ว่าจะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างเคร่งครัดเพียงใด มาพบทันตแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอหรือไม่ ในช่วงเข้ารับการรักษา ทันตแพทย์จะทำการนัดตรวจทุก 1 เดือน เพื่อปรับเครื่องมือ และตรวจผลการรักษาเป็นระยะ ๆ (สำหรับการจัดฟันแบบปกติ)
ต้องถอนฟันก่อนจัดฟันหรือไม่
การที่ทันตแพทย์จะพิจารณาว่าควรถอนฟันหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับความผิดปกติของคนไข้แต่ละคนว่าสมควรจะถอนหรือไม่ ถ้าต้องถอนฟันจะต้องถอนกี่ซี่ และจะต้องถอนซี่ใดบ้าง ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องถอนฟันก่อนจัดฟันเสมอไป โดยจะมีกรณีไหนบ้างนั้นจะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยสภาพช่องปาก รูปร่างใบหน้า โครงสร้างกระดูกใบหน้า ฟิล์มเอกซเรย์ แบบหล่อปูนจำลองฟันอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจ
อายุกับการจัดฟัน
อายุเท่าไรจึงควรเริ่มจัดฟันได้ ? อีกหนึ่งคำถามที่ถามกันมากที่สุด จริง ๆ แล้วการจัดฟันไม่ได้มีข้อกำหนดตายตัวว่าควรจะเริ่มจัดฟันได้เมื่อไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของความผิดปกติ แต่โดยทั่วไปแล้วการจัดฟันส่วนใหญ่มักจะเริ่มทำในเด็กที่มีฟันแท้ขึ้นเกือบครบ คือ ในช่วงอายุระหว่าง 10-14 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่เด็กกำลังมีการเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้ามากที่สุด ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากการเจริญเติบโตของคนไข้มาช่วยในการรักษาความผิดปกตินั้น แต่ในบางกรณีอาจจะต้องจัดฟันเร็วขึ้น เช่น ในเด็กที่มีความเคยชินที่ไม่ดีบางอย่าง เช่น ชอบดูดนิ้ว ลิ้นดุนฟัน กัดริมฝีปาก หายใจทางปาก แทะเล็บหรือกัดเล็บ เพราะนิสัยเหล่านี้จะมีผลต่อการเรียงตัวของฟันหรือมีผลต่อการเจริญเติบโตของโครงสร้างใบหน้าและขากรรไกรได้ ก็ควรจะเริ่มปรึกษาทันตแพทย์เพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่ผิดปกติดังกล่าว ตั้งแต่ในระยะแรกที่ตรวจพบ
อายุมากแล้วจะจัดฟันได้หรือไม่ ? ปกติแล้วการจัดฟันสามารถทำได้เกือบทุกช่วงอายุ แต่การรักษาคนไข้ที่มีอายุมากแล้วหรือประมาณ 30 ปีขึ้นไปนั้น มักจะมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ซึ่งจะมีผลต่อการจัดฟันอย่างมาก เช่น โรคปริทันต์ ซึ่งเป็นโรคที่มักจะรุนแรงมากขึ้นตามช่วงอายุ คนไข้ที่เป็นโรคปริทันต์จะต้องรักษาให้หายเสียก่อนถึงจะทำการจัดฟันได้ นอกจากนี้ เมื่อคนไข้มีอายุมากขึ้นก็จะมีอัตราการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้น้อยกว่าคนที่มีอายุน้อย ซึ่งขบวนการการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการจัดฟัน สรุปก็คือ คนที่มีอายุมาก ๆ ยังสามารถจัดฟันได้อยู่ แต่คนไข้ต้องมีสุขภาพช่องปากที่ดี และระยะเวลาในการจัดฟันจะนานกว่าปกติ ส่วนในรายที่ต้องกระตุ้นหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของขากรรไกรจะทำได้เฉพาะในเด็ก ส่วนในผู้ที่มีอายุมาก ๆ จะทำไม่ได้ครับ
จัดฟันราคาเท่าไร
การจัดฟันจะใช้งบประมาณค่อนข้างสูงอยู่แล้วซึ่งเป็นเรื่องปกติ โดยราคาการจัดฟันจะขึ้นอยู่กับวิธีการหรือเครื่องมือที่ใช้ และสถานที่หรือคลินิกที่รับจัดฟัน ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายแบบหลายวิธี (จะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป) แต่เราสามารถชำระเงินเป็นแบบผ่อนจ่ายได้ครับ เฉพาะค่าจัดฟัน ไม่รวมการถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนในระหว่างการรักษานะครับ บางที่จ่ายเต็มก็มีส่วนลดด้วยครับ นอกจากนี้ราคายังขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละแห่งด้วยครับ ส่วนนี้ก็ต้องลองไปสอบถามกันเอง
สามารถจัดฟันได้ที่ใดบ้าง
คนไข้สามารถเข้ารับการรักษาได้ที่คลินิก โรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลของรัฐที่มีทันตแพทย์เฉพาะทาง สาขาทางทันตกรรมจัดฟันประจำอยู่
การดูแลตนเองในขณะจัดฟัน
ในระหว่างทำการจัดฟัน เราควรดูแลทำความสะอาดฟันและช่องปากให้ดีอยู่เสมอ และควรใช้แปรงสีฟันสำหรับคนจัดฟันโดยเฉพาะ เนื่องจากฟันที่ถูกติดเครื่องมือหรืออุปกรณ์จะทำความสะอาดได้ยากกว่าเดิม เพราะอาจมีเศษอาหารเข้าไปติดตามร่องต่าง ๆ ได้ง่าย นอกจากนี้ยังควรงดรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารเหนียว ๆ อย่างหมากฝรั่งหรือตังเม อาหารแข็ง ๆ รวมไปถึงอาหารประเภทของหวาน เพราะอาจทำให้ฟันผุได้ง่าย
การจัดฟันด้านนอกแบบโลหะ
การจัดฟันด้วยเครื่องมือจัดฟันชนิดติดแน่นด้านนอกแบบโลหะ (Metal Braces) เป็นวิธีการจัดฟันที่นิยมใช้กันมานาน ที่เห็นได้ทั่วไป หรือที่ชอบเรียกว่า “การจัดฟันวัยรุ่น” ซึ่งเป็นการจัดฟันโดยการติดเครื่องมือแบบโลหะไว้ที่ผิวด้านหน้าของฟัน แล้วใส่ลวดผ่านร่อง Bracket และใช้ยาง O-Ring รัดตัวเครื่องมือจัดฟันให้ติดกับลวดจัดฟัน เพื่อช่วยเลื่อนตัวฟันและเรียงฟันให้สวยงาม ปัจจุบันได้มีการพัฒนาขนาดของวัสดุที่ใช้ให้มีขนาดเล็กลง มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ให้ความรู้สึกสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้น โดยจะเป็นการจัดฟันแบบติดแน่นโดยใช้เหล็กจัดฟันสีเงินติดด้านหน้าของผิวฟัน เพื่อเป็นตัวช่วยควบคุมทิศทางการเคลื่อนตัวของฟัน และสามารถเรียงฟันให้สวยพร้อมทั้งสร้างการสบฟันที่ถูกต้องได้
- ราคาจัดฟันด้านนอกแบบโลหะธรรมดา : ประมาณ 30,000 – 45,000 บาท
- ระยะเวลาในการจัดฟันด้านนอกแบบโลหะธรรมดา : ประมาณ 2 ปีขึ้นไป
ข้อดีของการจัดฟันด้านนอกแบบโลหะ
- สามารถจัดฟันได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฟันยื่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันกัดเบี้ยว ฟันกัดคร่อม ฟันสบลึก ฟันสบเปิด หรือฟันล้มระเนระนาดข้างใน ฯลฯ ลวดเหล็กก็สามารถดึงได้หมด
- มีราคาย่อมเยาและสามารถผ่อนชำระได้
- สามารถเลือกสีของยางจัดฟันได้ตามต้องการ
ข้อเสียของการจัดฟันด้านนอกแบบโลหะ
- บุคคลอื่นสามารถเห็นเครื่องมือในการจัดฟันได้อย่างชัดเจน
- ใช้ระยะเวลาในการจัดฟันแล้วเสร็จค่อนข้างนาน คือ ประมาณ 2 ปีขึ้นไป เพราะต้องดัดทั้งข้างหน้าและข้างใน และต้องเสียเวลาปรับลวดอีก
- หากทำความสะอาดไม่ดี อาจทำให้ฟันผุได้ ไม่ใช่แต่ด้านในนะครับ ด้านหน้าก็ผุได้ ซึ่งมักจะผุบริเวณรอบ ๆ เหล็ก ในกรณีนี้ก็คอยแก้ไขอุดกันไป ไม่ต้องกลัว เพราะตามธรรมชาติผิวฟันมันจะซ่อมสร้างตัวเองอยู่แล้ว
- ในระยะแรกส่วนของแก้มและริมฝีปากอาจระคายเคืองได้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวประมาณ 1-4 สัปดาห์ ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
การจัดฟันแบบเซรามิกใส
การจัดฟันแบบเซรามิกใส (Ceramic Braces) เป็นการจัดฟันแบบติดแน่นที่ใช้วัสดุแบบเซรามิกใสซึ่งมีสีที่ใกล้เคียงกับฟันมายึดติดกับผิวฟันด้านหน้า แล้วใส่ลวดผ่านร่อง Bracket และใช้ยางแบบใส (O-Ring) รัดตัวเครื่องมือจัดฟันให้ติดกับลวดจัดฟัน เพื่อช่วยควบคุมทิศทางการเคลื่อนตัวของฟันและเรียงฟันให้สวยงาม ซึ่งใช้ระยะเวลาในการจัดประมาณ 2 ปีขึ้นไป มีกระบวนการเหมือนการจัดฟันด้านนอกแบบปกติ เพียงแต่ตัววัสดุจัดฟันจะเป็นแบบเซรามิกพิเศษ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นสังเกตเห็นว่ากำลังจัดฟันอยู่ เพราะสีของวัสดุที่เป็นเซรามิกจะมีสีกลมกลืนเข้ากับสีของฟัน เมื่อดูเผิน ๆ จะไม่ทันสังเกตเห็นได้
- ราคาจัดฟันแบบเซรามิกใส : ประมาณ 75,000 – 80,000 บาท
- ระยะเวลาในการจัดฟัน : ประมาณ 2 ขึ้นไป
ข้อดีของการจัดฟันด้านนอกแบบเซรามิกใส
- สีของวัสดุที่เป็นเซรามิกจะมีสีกลมกลืนเข้ากับสีของฟัน เมื่อดูเผิน ๆ จะไม่ทันสังเกตเห็นได้
- สามารถผ่อนชำระได้ตลอดการรักษา
ข้อเสียการจัดฟันด้านนอกแบบเซรามิกใส
- มีราคาแพงกว่าการจัดฟันแบบธรรมดา
- ตัววัสดุอาจเปราะและแตกหักได้ง่ายเมื่อเทียบกับวัสดุแบบโลหะ และต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจากวัสดุที่แตกหักเอง
- อาจดูแปลกตาสำหรับบางคน ถ้าไม่สังเกตดี ๆ คนอื่นอาจคิดว่ามีอะไรมาติดฟันอยู่หรือเปล่า
- ใช้ระยะเวลาในการจัดฟันแล้วเสร็จค่อนข้างนาน คือ ประมาณ 2 ปีขึ้นไป
การจัดฟันแบบดามอน
การจัดฟันแบบดามอน (Damon System) หรือการจัดฟันด้วยแบร็คเก็ตชนิด Damon™ System (ดามอนซิสเต็ม) เป็นการรักษาด้วยวิธีการจัดฟันแบบใหม่ทั้งหมดที่ไม่ต้องใช้ยางรัด สามารถช่วยย่นระยะเวลาในการรักษารวดเร็ว มีประสิทธิภาพสูง และแทบไม่ต้องถอนฟันออกสักซี่ โดยเป็นการใช้เทคโนโลยีในการจัดฟันแบบ Self-Ligating ที่ได้รับการรับรองทางการแพทย์แล้วว่าช่วยลดเวลาในการจัดฟันให้น้อยลง มีทั้งดามอนคิว (DAMON Q) ที่เป็นสีเงิน และดามอนเคลียร์ (DAMON CLEAR) ที่เป็นสีใส (การจัดมีขั้นตอนเหมือนกัน ต่างกันเพียงแค่สีของโลหะ โดยตัวดามอนเคลียร์จะมีราคาแพงมากกว่าประมาณ 5,000 – 10,000 บาท)
- ราคาจัดฟันแบบดามอน : ประมาณ 55,000 – 100,000 บาท
- ระยะเวลาในการจัดฟันแบบดามอน : ประมาณ 2 ขึ้นไป
ข้อดีข้องการจัดฟันดามอน
- ให้ความรู้สึกสบายและเจ็บน้อยกว่า เนื่องจากเป็นการเคลื่อนฟันโดยใช้แรงเบา มีความฝืดต่ำ ทำให้การเคลื่อนฟันในช่วงแรกมีความเจ็บน้อยลงกว่าการจัดฟันแบบเดิม
- ใช้ระยะเวลาในการจัดฟันน้อยกว่าเดิม ฟันเคลื่อนที่ได้เร็ว การจัดฟันวิธีนี้สามารถช่วยลดระยะเวลาในการรักษาจากเดิมเร็วขึ้น ถ้าใครประกอบอาชีพที่ไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัว แต่ว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพฟัน การจัดฟันแบบนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดีครับ
- มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการเคลื่อนฟันอย่างมาก Damon™ System เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนตัวของฟันให้เข้ากับตำแหน่งที่ต้องการมากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่ตามมาจึงทำให้ใช้ระยะเวลาในการรักษาที่น้อยลงกว่าเดิม
- ช่วยลดโอกาสการถอนฟัน ด้วยการจัดฟันแบบดามอน ทันตแพทย์สามารถใช้วิธีการขยายพื้นที่การเรียงตัวของฟันออกไปได้ ทำให้โอกาสในการถอนฟันเพื่อหาช่องว่างมีน้อยลง และเมื่อรักษาเสร็จ รอยยิ้มจึงดูสวยงามกว่า เพราะไม่มีช่องว่างระหว่างฟันกับแก้มมากเกินไป ส่งผลให้ใบหน้าไม่หลุบหรือตอบเกินไป มีความอูมนูนที่พอเหมาะ จึงไม่ทำให้ใบหน้าดูแก่เร็วก่อนวัยอันควร ซึ่งต่างจากการจัดฟันแบบเดิมที่บางครั้งจำเป็นต้องถอนฟันซี่ที่สมบูรณ์ออก หรือขยายช่องปากเพื่อสร้างช่องว่าง ทำให้เกิดความไม่สบาย
- ช่วยขยายความเป็นไปได้ โดยไม่ต้องทำ RPEs หรือ ผ่าตัด ในกรณีการจัดฟันแบบดามอน จะใช้เส้นวัสดุขึงด้านหลักขนาด 14 มม. โดยไม่ต้องศัลยกรรมหรือขยายช่องปากฉับพลันแม้แต่น้อย
- มาพบทันตแพทย์น้อยครั้งลง (ไม่ต้องมาทุกเดือน)
- รักษาความสะอาดช่องปากและฟันได้ง่ายขึ้น จึงช่วยลดโอกาสการเกิดฟันผุ และโรคเหงือกอักเสบ
ข้อเสียของการจัดฟันดามอน
- มีค่าใช้จ่ายสูงมากกว่าแบบปกติเกือบเท่าตัว เนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและลิขสิทธิ์ของเครื่องมือชนิดนี้ที่เป็นของ Damon™ System ผู้ผลิตแต่เพียงเจ้าเดียว
- ต้องทำโดยทันตแพทย์ที่มีความชำนาญ การจัดฟันแบบ Damon™ System ทันตแพทย์จะต้องเป็นผู้มีความรู้และความชำนาญ เนื่องจากการจัดฟันแบบนี้มีความซับซ้อนของเครื่องมือและมีวิธีการรักษาที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก (แม้ผู้ใช้จะรู้สึกสบาย) ซึ่งต่างจากการจัดฟันในรูปแบบเดิม
- ไม่ได้ใส่ยางจัดฟัน สำหรับหลาย ๆ คนแล้วอาจคิดว่านี้เป็นข้อดี แต่ยังมีบางคนที่อาจตื่นเต้นกับการจัดฟันครั้งแรกที่จะได้เลือกสียางได้ตามใจชอบ เพราะการจัดฟันด้วยวิธีนี้ จะไม่ได้ใช้ยางที่มีสีสันเหล่านั้น เนื่องจากข้อเสียของยางถูกจำกัดไป โดยบานเปิดปิดของแบร็คเก็ต Damon™ System นี้ ถ้าหากใช้ยางสี ๆ เกี่ยวเข้าไป ก็มีค่าเหมือนกับใส่แบร็คเก็ตธรรมดานั่นเอง
- ผู้ใช้ต้องมีวินัยอย่างมาก ตั้งแต่การทำความสะอาด เนื่องจากความซับซ้อนของเครื่องมือที่เป็นบานปิดเปิด จึงทำให้ไวต่อการเกิดหินปูน หากผู้ใช้ไม่รักษาความสะอาดให้ดีพอ และระบบนี้ยังมีการใช้ยาง Elastic ค่อนข้างบ่อย เพื่อลดการถอนฟัน ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนยางทุกวันและใส่ยางบ่อย ๆ เพราะหากไม่ใส่จะไม่ได้ผลในการรักษาที่ดี
การจัดฟันด้านในแบบ Light Lingual
การจัดฟันด้านในแบบ Light Lingual เป็นการติดเครื่องมือบริเวณด้านหลังหรือด้านในของฟัน ตัวเครื่องมือจะถูกออกแบบมาเฉพาะกับฟันแต่ละซี่ในแต่ละบุคคล โดย Light Lingual จะมีขนาดที่เล็กลงกว่าเดิม จึงช่วยลดแรงเสียดทานและแรงต้านทานได้เป็นอย่างดี ในขณะสนทนาหรือยิ้มแย้มจึงไม่เห็นเป็นที่สังเกตได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาการเรียงตัวของฟันผิดปกติและไม่ต้องการให้ผู้อื่นสังเกตเห็นเครื่องมือการจัดฟัน ในการจัดฟันด้านในโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาในการจัดฟันพอ ๆ กับการจัดฟันด้านนอก แต่ในบางกรณีอาจจะใช้เวลาน้อยกว่าด้วย
ข้อดีของการจัดฟันด้านในแบบ Light Lingual
- สามารถทำการรักษาได้เกือบทุกรณี ทุกเพศ ทุกวัย
- ทำให้ยิ้มได้อย่างมั่นใจและไม่มีใครรู้ว่ากำลังจัดฟันอยู่ เพราะเป็นการติดเครื่องมือที่ด้านหลังของฟัน ซึ่งจะแตกต่างจากการจัดฟันด้านนอกแบบทั่วไป
- ไม่ก่อให้เกิดการทำลายผิวฟันด้านหน้า เนื่องจากเป็นการจัดฟันด้านใน
- ให้ผลลัพธ์ที่ดี ด้วยวิธีการที่ง่ายและการรักษาที่รวดเร็วขึ้น รวมไปถึงความสะดวกสบายเมื่อสวมใส่ เครื่องมือจัดฟัน Light Lingual เป็นเครื่องมือที่เน้นความสำคัญไปที่การทำให้แรงเสียดทานและแรงต้านน้อยลง จึงทำให้ฟันเคลื่อนตัวได้เร็ว ระยะเวลาในการรักษาจึงสั้นลงด้วย ทำให้ผู้รับการรักษาไม่ต้องยุ่งยากลำบากใจ เพราะสามารถควบคุมการเคลื่อนตัวของฟันได้แบบ 3 มิติ ทำให้กำหนดผลลัพธ์ได้ในเวลาอันสั้น
- การจัดฟันด้านในแบบ Light Lingual ความกังวลต่าง ๆ ของคุณจะหมดไป เมื่อคุณไม่ต้องคอยห่วงอีกต่อไปว่าฟันจะเรียงตัวผิดรูปผิดร่าง หรือเกิดความผิดพลาดในระหว่างการรักษาหรือไม่
- เครื่องมือจัดฟัน Light Lingual brackets (STb brackets) ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้รู้สึกสะดวกสบายที่สุด ทำความสะอาดได้ง่าย โดยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เหนือกว่าเครื่องมือการจัดฟันแบบด้านในทั่วไป จะส่งผลกระทบต่อการพูด การเคี้ยว และการระคายเคืองน้อยมาก จากการศึกษาทางด้านทันตกรรมเห็นได้ชัดว่าภาวะการพูดไม่ชัดจะหายไปในเวลาเพียงไม่กี่วัน อีกทั้ง Light Lingual ยังมีขนาดที่เล็กลงกว่าเดิม (หนาเพียง 1.5 มิลลิเมตรเท่านั้น) ดีไซน์โค้งมน เข้ากันได้ดีกับรูปทรงของฟัน จึงช่วยลดแรงเสียดทานและแรงต้านทานได้เป็นอย่างดี
ข้อเสียของการจัดฟันด้านในแบบ Light Lingual
- มีราคาแพงกว่าการจัดฟันด้านนอก เนื่องจากเป็นการจัดฟันที่ต้องใช้เครื่องมือในการจัดฟันที่พิเศษและซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถพิเศษและความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นพิเศษ
- ในระยะแรก ลิ้นอาจเกิดการระคายเคืองได้บ้าง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวประมาณ 1-4 สัปดาห์ ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
การจัดฟันด้านในแบบ iBraces™
iBraces™ Lingual เป็นเครื่องมือจัดฟันรุ่นใหม่ที่เหมาะสำหรับวัยรุ่นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 13-60 ปีขึ้นไป เป็นเครื่องมือจัดฟันที่ติดอยู่ด้านในของฟันที่ผลิตออกมาให้พอเหมาะพอดีกับรูปทรงของฟันแต่ละซี่แบบ 100% จึงไม่มีใครสามารถเห็นได้ว่ากำลังจัดฟันอยู่ เหมาะสำหรับผู้ไม่อยากให้ใครเห็นเครื่องมือจัดฟัน ผู้ใหญ่ที่ต้องอาศัยบุคลิกภายในการทำงาน นักดนตรีเครื่องเป่า วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่เล่นกีฬาที่ต้องเกิดการกระทบกระแทก และผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสียหายของผิวฟันด้านหน้า
ขั้นตอนการจัดฟันแบบ iBraces™
- ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์แบบฟันของคุณอย่างละเอียด สำหรับการนำไปทำแบบเพื่อสร้างแบรกเก็ตและลวดยึด โดยส่งแบบพิมพ์ไปยังห้องแล็บของ iBraces™ ในต่างประเทศ
- ทางแล็บของ iBraces™ จะใช้เทคโนโลยี CAD/CAM และเทคโนโลยีการสร้างภาพจากต้นแบบเพื่อนำไปใช้ออกแบบและสร้าง iBraces™ ที่เหมาะพอดีแบบ 100% สำหรับคุณโดยเฉพาะ ซึ่งเครื่องมือจัดฟัน iBraces™ นี้จะสร้างขึ้นจากแบบพิมพ์ด้วยวัสดุทองคำผสมที่มีความทนทาน ส่วนลวดที่ใช้จัดฟันจะใช้เทคโนโลยีเดียวกันและใช้กรรมวิธี Robotic เพื่อช่วยในการดัดลวดให้เหมาะพอดี
- คุณจะได้รับ iBraces™ หลังจากที่ทันตแพทย์ของคุณส่งแบบพิมพ์ฟันไปยังแล็บที่อยู่ต่างประเทศแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ และทันตแพทย์จะเตรียมฟันและติดเครื่องมือให้คุณ หลังจากติดเครื่องมือแล้ว คุณจะต้องมาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจรักษาตามที่นัดหมายไว้ จนกว่าจะจัดฟันแล้วเสร็จ
การจัดฟันใสแบบ Invisalign
การจัดฟันแบบใสที่ถอดได้ (Invisalign – อินวิซาไลน์) คือ การจัดฟันที่เน้นไปที่ความสวยงามเป็นหลัก โดยการใช้เครื่องมือโปร่งใสในการช่วยปรับการเรียงตัวของฟัน โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่นที่ผิวฟันอย่างที่นิยมใช้กันทั่วไป Invisalign เป็นนวัตกรรมทางการจัดฟันแบบใหม่ที่ดารานิยมทำกันมาก ทำให้สามารถจัดฟันได้โดยไม่ต้องใส่เหล็กดัด สามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ง่ายต่อการดูแลรักษา เพราะสามารถถอดออกและแปรงฟันได้ตามปกติ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การจัดฟันด้วยวิธีนี้เป็นที่นิยมของคนที่ต้องการจัดฟัน แต่ไม่อยากให้ใครเห็น
การจัดฟันแบบใสจะเหมาะกับผู้ที่ “มีปัญหาฟันเหยินด้านหน้า มีเงินพร้อม และใจร้อน” แต่หากฟันยื่นเจ๋อของคุณมาจากด้านหลังและมีปัญหาฟันล้มข้างในด้วยก็ต้องดัดทั้งปากด้วยเหล็กแบบปกติ
- ราคาจัดฟันใสแบบ Invisalign : ราคาประมาณ 120,000 – 200,000 บาท (สามารถผ่อนชำระได้)
- ระยะเวลาในการจัดฟันใสแบบ Invisalign : ประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปีขึ้นไป
ขั้นตอนการจัดฟันใสแบบ Invisalign
- พบแพทย์ ในขั้นแรกผู้เข้ารับบริการต้องทำการนัดหมายเพื่อปรึกษาและถ่ายภาพเอกซเรย์ช่องปากเพื่อใช้ในวางแผนการรักษา
- วางแผนการรักษา ทันตแพทย์ผู้ผ่านการรับรองจาก Invisalign จะทำการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา พร้อมกับถ่ายภาพและพิมพ์ฟันของคุณ
- เตรียมสภาพช่องปาก ทันตแพทย์จะเตรียมสภาพช่องปากของคุณให้พร้อมสำหรับการรักษา
- พิมพ์ฟัน ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ฟันของคุณอีกครั้งพร้อมบันทึกการกัดสบฟัน จากนั้นทันตแพทย์จะส่งข้อมูลทุกอย่างไปให้ผู้เชี่ยวชาญ Invisalign ในสหรัฐอเมริกา
- สแกนรอยพิมพ์ฟัน ทาง Invisalign จะใช้เครื่อง CT สแกน หรือ CAT สแกนรอยพิมพ์ฟันของคุณ โดยใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพแบบ 3 มิติ เพื่อสร้างชุดเครื่องมือจัดฟันของคุณ
- วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง โปรแกรม CAD (Computer Aided Design) ที่เรียกว่า ClinCheck® จะทำการวิเคราะห์การเปลี่ยนของการเคลื่อนตัวของฟันขณะทำการรักษา โดยการสร้างภาพเสมือนจริงของการเคลื่อนของฟันในระหว่างทำการรักษา
- ตรวจสอบและดัดแปลง ทันตแพทย์จะตรวจสอบดัดแปลงและรับรองแผนการรักษาก่อนการสร้างชุดเครื่องมือจัดฟัน
- สร้างแบบฟัน จะเป็นการใช้เทคโนโลยีล้ำยุค SLA (Stereolithography) เพื่อนำมาใช้สร้างชุดเครื่องมือจากรอยพิมพ์ของคุณ ในทุก ๆ รายละเอียดและทุกขั้นตอนการรักษา
- ชุดเครื่องมือจัดฟัน ชุดเครื่องจัดฟันแบบใสที่ผลิตพิเศษขึ้นมาเฉพาะบุคคล จะถูกส่งให้ทันตแพทย์ของคุณที่เมืองไทย
- รับชุดเครื่องมือจัดฟัน คุณจะได้รับชุดเครื่องจัดฟันของคุณ และเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 2 สัปดาห์ เพื่อการปรับเคลื่อนตัวของฟัน เพียงแต่คุณต้องมีวินัยอย่างสูงและสวมใส่เครื่องมือทุกวัน ถอดออกในเฉพาะเวลารับประทานอาหาร แปรงฟัน ขัดฟัน หรือต้องพบกับทันตแพทย์ตามนัดหมายเพื่อตรวจวินิจฉัย
ข้อดีของการจัดฟันใสแบบ Invisalign
- ดูดี มีความสวยงาม เพราะเครื่องมือจัดฟันชนิดนี้จะโปร่งใส จนยากที่ผู้อื่นจะสังเกตเห็นได้ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด คุณสามารถเผยรอยยิ้มได้อย่างไร้ความกังวล
- ช่วยลดระยะเวลาในการจัดฟัน การจัดฟันแบบใสสามารถช่วยลดระยะเวลาในการจัดฟันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของสภาพฟันแต่ละบุคคลด้วย
- ตำแหน่งฟันและองศาของแกนฟันแต่ละซี่จะถูกควบคุมให้ออกมาตามที่ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะของผู้ใช้รายนั้น ฟันของคุณจะค่อย ๆ ขยับทีละน้อยจนเข้าที่
- บาง เบา และสวมใส่สบายกว่าเครื่องมือจัดฟันชนิดโลหะทั่วไป ด้วยเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ ทำให้มีแรงดันที่ทำให้ฟันเข้าที่ได้ดี จึงไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองภายในช่องปาก และช่วยลดปัญหาการเกิดแผลในช่องปากได้ดี
- ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก
- สามารถถอดและสวมใส่ได้อย่างง่ายดาย ทำให้การจัดฟันกับการรับประทานอาหารที่แสนอร่อยของคุณสามารถดำเนินไปด้วยกันได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าเศษอาหารจะเข้าไปติดในเครื่องมือ (เนื่องจากต้องถอดเครื่องมือก่อน)
- สะอาด ช่วยลดปัญหาการทำความสะอาดฟันและปัญหาฟันผุที่เกิดจากการจัดฟันแบบเดิม ๆ ได้ เพราะคุณสามารถแปรงฟัน ขัดฟันได้อย่างปกติ
- มีความปลอดภัย เนื่องจากการจัดฟันแบบใสและถอดได้ ไม่ทำให้รากฟันสั้น
- ในรายที่ไม่สามารถไปพบทันตแพทย์ตามนัดได้ ก็สามารถรับเครื่องมือ Invisalign จำนวนชิ้นทั้งหมดมาได้ในคราวเดียว (ปกติแล้วทันตแพทย์จะนัดให้มาพบประมาณทุกเดือนครึ่งเพื่อตรวจดูความคืบหน้าและให้เครื่องมือชิ้นต่อไป)
ข้อเสียของการจัดฟันใสแบบ Invisalign
- ราคาสูง ค่าใช้จ่ายในการจัดฟันแบบใสจะสูงกว่าการจัดฟันแบบติดเครื่องมือ เนื่องจากมีขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อนและพิถีพิถันและคุณภาพที่เป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้การจัดฟันแบบนี้มีราคาสูง
- ระเบียบวินัยของผู้ใช้ อย่าลืมว่าความคืบหน้าในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับระเบียบวินัยของผู้ใช้เป็นสำคัญ ถ้าผู้ใช้สวมใส่เครื่องมือประมาณ 20-22 ชั่วโมงต่อวัน และถอดออกเฉพาะเวลารับประทานหรือทำความสะอาดฟัน ก็จะทำให้ฟันเข้าที่ได้เร็วยิ่งขึ้น
- หากเกิดปัญหาคือ ผู้ใช้ Error ขึ้นมา จะต้องทำใหม่เลย เพราะทางบริษัทจะไม่รับเคลมด้วย
- เครื่องมือจัดฟันมักหาย จากการที่ต้องเอาเครื่องมือจัดฟันออกก่อนการรับประทานทุกครั้ง (เพื่อฟันจะได้สะอาดและทำความสะอาดได้ง่าย) บวกกับการที่ตัวเครื่องมือมีลักษณะใสจนยากต่อการสังเกต จึงทำให้ผู้ใช้อาจทำเครื่องมือจัดฟันหายหรือลืมทิ้งไว้ หรือลืมใส่เครื่องมือกลับเข้าไปอีกครั้ง
- โดยส่วนมากจะใช้กับเคสที่ต้องถอนฟันไม่ได้
การจัดฟันใสแบบ Smile Tru
การจัดฟันใสด้วย Smile Tru จะคล้าย ๆ กับการจัดฟันใสแบบอินวิซาไลน์ครับ แต่เป็นระบบการจัดฟันใสจากอเมริกา ทำการจัดฟัน วางแผน และผลิตพลาสติกสำหรับจัดฟันใสด้วยระบบ 3 มิติ เพียงแค่พิมพ์ฟันครั้งเดียว คุณก็จะเห็นภาพจำลองการเคลื่อนตัวของฟันทั้งก่อนจัด ระหว่างจัด และหลังจัดฟันเสร็จ เมื่อใส่เครื่องมือไปจนครบฟันก็จะเคลื่อนตัวเรียงกันเป็นระเบียบตามภาพจำลองที่ออกแบบไว้ สามารถถอดออกและใส่ได้ง่าย ทำความสะอาดง่าย ฟันเกน้อย
- ราคาการจัดฟันใสแบบ Smile Tru : ประมาณ 50,000 – 150,000 บาท
- ระยะเวลาในการจัดฟันใสแบบ Smile Tru : ประมาณ 3 เดือน ถึง 2 ปีขึ้นไป
ข้อดีของการจัดฟันใสแบบ Smile Tru
- ช่วยแก้ไขปัญหาการสบฟันผิดปกติ เช่น ฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง สบฟันลึก ฟันไม่สบกัน และช่วยให้เรียงฟันเรียบ
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการจัดฟัน แต่มีข้อจำกัดจากหน้าที่การงานหรือมีอายุมากแล้ว
- เห็นผลการจัดฟันก่อนการตัดสินใจ ด้วยภาพจำลองการเคลื่อนตัวของฟัน ทั้งก่อนจัด ระหว่างจัด และหลังจัดฟัน
- เนื่องจากเป็นการจัดฟันแบบใส คนรอบข้างจึงไม่รู้หากไม่สังเกตดี ๆ
- สามารถถอดเครื่องมือออกได้เมื่อจำเป็น และทำความสะอาดได้ง่ายและไม่ยุ่งยาก
- สามารถทานอาหารได้ตามปกติ เศษอาหารไม่ติดเครื่องมือ
- สามารถแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ จึงช่วยให้สุขภาพช่องปากดีเหมือนเดิม
- สามารถเล่นกีฬาและดนตรีได้ตามปกติ
- อ่อนโยนต่ออวัยวะภายในช่องปากของคุณ
- ใช้ระยะเวลาการรักษาน้อยประมาณ 3 เดือน – 2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ข้อเสียของการจัดฟันใสแบบ Smile Tru
- เช่นเดียวกับการจัดฟันแบบ Invisalign
การจัดฟันใสแบบ Clear Aligner
การจัดฟันแบบใสชนิดถอดได้ (Clear Aligner) เป็นเครื่องมือการจัดฟันชนิดถอดได้แบบใสที่ถูกออกแบบเฉพาะบุคคล โดยใช้วัสดุที่บางใสและเรียบติดกับเนื้อฟัน โดยไม่มีเหล็กหรือลวดจัดฟันมากวนใจในขณะใส่เครื่องมือจัดฟัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมทางเลือกใหม่ของการจัดฟันที่มีราคาถูกกว่าแบบใสที่ถอดได้ ไม่ต้องทนเจ็บปวดจากปัญหาการใช้เหล็กจัดฟันอีกต่อไป เพียงแค่สวมเครื่องมือหรืออุปกรณ์จัดฟันแบบใสนี้เข้าก็สามารถช่วยให้ฟันเข้ารูปได้แล้ว
“เนื่องจากเราไปซื้อโปรแกรมของฝรั่งเศสมา จึงสามารถทำในประเทศไทยได้เลย เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับให้ฟันหน้าเรียงกันได้สวย แต่เขาจะมีเกณฑ์ของเขา ไม่มีภาพแสดงออกมาให้เห็นการเปลี่ยนแปลงแต่ละสเต็ป จะแค่ประเมินกำหนดองศา ใช้ประมาณกี่สเต็ปในการดัดฟันให้เข้ารูปตามที่ต้องการ เนื่องจากทำในไทย เครื่องมือจึงทำแบบสเต็ปต่อสเต็ป ถ้าเราไม่ใส่ตามกำหนด ก็สามารถปรับเครื่องมือได้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้เวลาไม่ถึงปีก็เสร็จ”
- ราคาการจัดฟันใสแบบ Clear Aligner : ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท
- ระยะเวลาในการจัดฟันใสแบบ Clear Aligner : ประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปีขึ้นไป
ขั้นตอนการจัดฟันใสแบบ Clear Aligner
- เข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจและวางแผนในการรักษา
- หากตัดสินใจเลือกจัดฟันใสแบบ Clear Aligner และเข้าใจถึงแผนและผลการรักษาแล้ว ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ฟัน เพื่อนำแบบพิมพ์ไปวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วออกแบบและผลิตเครื่องมือที่ใช้ในการจัดฟันแบบใสเฉพาะบุคคลเตรียมไว้
- ทันตแพทย์จะเตรียมฟันหรือเตรียมช่องปากให้เหมาะสมสำหรับการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน พร้อมกับสวมใส่เครื่องมือให้กับคุณ (เครื่องมือจะไดรับการฆ่าเชื้อมาเป็นอย่างดีก่อนนำมาใช้)
- ทันตแพทย์จะนัดหมายให้คุณมาพบเพื่อปรับหรือเปลี่ยนเครื่องมือให้มีแรงเหมาะสมในการเคลื่อนฟันอยู่เสมอ
- เมื่อสิ้นสุดการรักษา จะต้องใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน (Retainer) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของฟันกลับไปสู่ตำแหน่งเดิม
ข้อดีของการจัดฟันใสแบบ Clear Aligner
- มีราคาย่อมเยา สมเหตุสมผล เข้าถึงได้ง่ายกว่าการจัดฟันใสแบบ Invisalign และ Smile Tru
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะจัดฟัน แต่มีปัญหาต่อการทำงานหรืออาชีพ ไม่ต้องการให้เห็นชัดเจน คุณจึงสามารถสวมใส่เครื่องมือพร้อมกับทำกิจกรรมต่าง ๆ ประจำวันได้อย่างไร้กังวล
- ถอดและสวมใส่ได้ง่าย คุณสามารถถอดเครื่องมือได้เมื่อต้องการรับประทานอาหาร แปรงฟัน หรือขัดฟัน จึงช่วยลดปัญหาการเกิดหินปูน ฟันผุ กลิ่นปาก แผลในช่องปาก และโรคในช่องปากอื่น ๆ ได้
- เครื่องมือมีความบาง เบา สวมใส่สบาย เนื่องจากเครื่องมือมีแรงดันเพื่อเคลื่อนฟันที่เหมาะสมเฉพาะตัว คุณจึงรู้สึกสบายทุกครั้งที่ใส่
- ใช้ระยะเวลาในการจัดฟันน้อยลงกว่าเดิม ไม่ถึง 2 ปีก็แล้วเสร็จ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของฟันแต่ละบุคคลด้วย
ข้อเสียการจัดฟันใสแบบ Clear Aligner
- ก่อนรับประทานอาหารจะต้องถอดพลาสติกครอบฟันออกก่อน ถ้าอยู่ที่บ้านคงไม่เท่าไร แต่ถ้าอยู่นอกบ้านหรือต้องทานข้าวนอกบ้าน อาจจะมีปัญหาได้ เพราะเวลาถอดออกมาอาจมีน้ำลายไปขังอยู่ครอบพลาสติกและทำให้น้ำลายยืดได้ในขณะถอด ส่วนนี้อาจจะต้องหาที่ส่วนตัวในการถอดออกสักหน่อย เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียด พอทานอาหารเสร็จแล้วก็ต้องเคลียร์ปากให้สะอาดเรียบร้อยก่อนที่จะใส่เครื่องมือกลับเข้าไปใหม่
- ส่วนข้อเสียอื่น ๆ ก็เหมือนการจัดฟันแบบ Invisalign ครับ เพียงแต่ค่ารักษาจะมีราคาถูกกว่าค่อนข้างมาก
การจัดฟันควบคู่กับการผ่าตัด
การจัดฟันควบคู่กับการผ่าตัด (Orthognathic Surgery) ในบางกรณีการจัดฟันเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจแก้ปัญหาการสบฟันหรือการเรียงตัวกันของฟันที่มีความผิดปกติได้ จึงต้องอาศัยการผ่าตัดขากรรไกรควบคู่ไปกับการจัดฟันด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อผลลัพธ์และประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาที่ต้องอาศัยการจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดนั้น ส่วนมากจะใช้เฉพาะในผู้ที่หน้าไม่ได้สัดส่วน, คางยื่น, คางหดสั้นมาก ๆ, ยิ้มแล้วเหงือกและฟันบนกัดไม่ชนฟันล่าง แต่การผ่าตัดนั้นจะทำในคนไข้ที่หมดการเจริญเติบโตของโครงสร้างกระดูกแล้วเท่านั้น ซึ่งในผู้ชายจะเริ่มที่อายุประมาณ 20 ปี ส่วนในผู้หญิงจะเริ่มที่อายุประมาณ 18 ปี
- ราคาผ่าตัดไม่รวมจัดฟัน : ประมาณ 100,000 – 150,000 บาท (ขึ้นอยู่กับสถานที่จัดฟันเป็นหลัก)
ขั้นตอนการจัดฟันร่วมกับการผ่าตัด
- จัดฟันก่อนการผ่าตัด จะทำเพื่อปรับตำแหน่งฟันและแกนฟันในแต่ละขากรรไกรให้ถูกต้อง เพื่อที่หลังจากผ่าตัดขากรรไกรที่มีความผิดปกติให้กลับเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว ฟันในแต่ละขากรรไกรทั้งสองจะสามารถสบกันได้ ในขั้นตอนนี้จะทำโดยทันตแพทย์จัดฟัน ซึ่งจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1-2 ปี ซึ่งในระยะนี้อาจทำให้การสบฟันของคนไข้ที่ผิดปกติอยู่แล้วดูรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะได้รับการแก้ไขให้เป็นปกติด้วยการผ่าตัดขากรรไกรในขั้นตอนต่อไป
- ขั้นตอนการผ่าตัด จะทำโดยทันตแพทย์ศัลยกรรมช่องปากและทำในห้องผ่าตัด การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 2-6 ชั่วโมง มีระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 7-10 วัน ทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดและแก้ไขส่วนของโครงสร้างกระดูกที่มีความผิดปกติให้เป็นปกติ
- จัดฟันหลังการผ่าตัด ในขั้นตอนนี้จะเป็นการจัดฟันเพื่อแก้ไขรายละเอียดในส่วนของการเรียงตัวของฟัน การสบฟัน ให้มีความเหมาะสมพอดีมากที่สุด ซึ่งจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1 ปี
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)