กะตังใบ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นกะตังใบ 17 ข้อ !

กะตังใบ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นกะตังใบ 17 ข้อ !

กะตังใบ

กะตังใบ ชื่อสามัญ Bandicoot Berry

กะตังใบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Leea indica (Burm.f.) Merr. จัดอยู่ในวงศ์องุ่น (VITACEAE)[1],[2],[5]

สมุนไพรกะตังใบ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ขี้หมาเปียก (นครราชสีมา), ต้างไก่ (อุบลราชธานี), คะนางใบ (ตราด), กะตังใบ (กรุงเทพมหานคร, จันทบุรี, เชียงใหม่), ช้างเขิง ดังหวาย (นราธิวาส), บังบายต้น บั่งบายต้น (ตรัง), ตองจ้วม ตองต้อม (ภาคเหนือ), ไม้ชักป้าน (ไทใหญ่), เหม่โดเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ช้างเขิง (เงี้ยว), ต้มแย่แงง (เมี่ยน), อิ๊กะ (ม้ง), ช้างเขิง (ฉาน), กระตังใบ, เรือง, เขืองแข้งม้า เป็นต้น[1],[3],[5],[6],[7]

ลักษณะของกะตังใบ

  • ต้นกะตังใบ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มขนาดย่อมหรือไม้ต้นขนาดเล็ก มีความสูงได้ประมาณ 1-3 เมตร แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ลำต้นค่อนข้างเกลี้ยงหรือปกคลุมด้วยขนสั้น ๆ ต้นฉ่ำน้ำ ตามต้นและตามกิ่งอ่อนมีขนขึ้นปกคลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและแยกหน่อ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ชอบแสงแดดรำไร ใต้ร่มไม้ใหญ่ มีเขตการกระจายพันธุ์ในอินเดีย เนปาล พม่า บังกลาเทศ ภูมิภาคอินโดจีน ภูมิภาคมาเลเซีย ไปจนถึงออสเตรเลียและฟิจิ ส่วนในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภาค โดยมักพบขึ้นตามป่าดิบ ป่าผลัดใบ และตามป่าเต็งรัง บนพื้นที่ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงที่ความสูงประมาณ 1,400 เมตร[1],[2],[3],[5],[7]

ต้นกะตังใบ

  • ใบกะตังใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงสลับ แกนกลางใบประกอบยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร เกลี้ยงหรือมีขนสั้นขึ้นปกคลุม ส่วนก้านใบประกอบยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร เกลี้ยงหรือมีขนเล็กน้อย ริ้วประดับมีตั้งแต่รูปสามเหลี่ยมค่อนข้างกว้าง ถึงรูปสามเหลี่ยมแคบ ยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร หูใบเป็นรูปไข่กลับ แผ่เป็นแผ่น มีขนาดกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร และยาวได้ถึง 6 เซนติเมตร ซึ่งมักจะเกลี้ยงหรือมีขนขึ้นประปราย จะเห็นชัดเจนในขณะที่ใบยังอ่อน และจะร่วงได้ง่ายเมื่อใบแก่ เหลือไว้เฉพาะรอยแผลรูปสามเหลี่ยม ใบย่อยมีประมาณ 3-7 ใบ ออกเป็นคู่ตรงข้าม ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรียาว รูปไข่ รูปขอบขนาน หรือรูปใบหอกแกมรี ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม โคนใบแหลมเล็กน้อย มน หรือเว้าเล็กน้อย ส่วนขอบใบจักเป็นซี่ฟัน ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-12 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-24 เซนติเมตร แผ่นใบเกลี้ยงหรือมีขนเล็กน้อย เนื้อใบหนาปานกลาง ก้านใบย่อยยาวได้ประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร เกลี้ยงหรือมีขน หลังใบเป็นลอนตามแนวเส้นใบ ส่วนท้องใบเป็นลอนสีเขียวนวล และมีต่อมขนาดเล็กรูปเหลี่ยมหรือกลม เห็นเส้นใบได้ชัดเจน เส้นแขนงใบมีข้างละ 6-16 เส้น[1],[2],[3],[5]

ใบกะตังใบ

  • ดอกกะตังใบ ออกดอกเป็นช่อใหญ่ตั้งขึ้น ยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร โดยจะออกตามซอกใบหรือตรงเรือนยอดของกิ่ง ก้านชูช่อดอกยาว แต่ละช่อดอกมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมีขนาดเล็ก เป็นเป็นสีขาวอมเขียว ขาวอมเหลือง หรือสีเขียวอ่อน ดอกตูมเป็นรูปทรงกลมสีแดงเข้ม เมื่อดอกบานจะเปลี่ยนเป็นสีขาว กลีบเลี้ยงติดกันเป็นรูปถ้วย กลีบเลี้ยงยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร เชื่อมติดกันที่โคน ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ เชื่อมติดกันที่โคน กลีบดอกส่วนล่างติดกัน ส่วนด้านในเชื่อมติดกับส่วนของเกสรเพศผู้ ส่วนบนแยกเป็นกลีบเรียว 5 กลีบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน ติดอยู่กับหลอดเกสรเพศผู้ ปลายอับเรณูจะโผล่พ้นหลอดออกไปเป็นแฉกมน ๆ ปลายแฉกเว้า เกสรเพศเมียมีรังไข่ 6 ช่อง ในแต่ละช่องจะมีออวุล 1 เม็ด ก้านเกสรสั้น ปลายมน[1],[2],[3],[5] ออกดอกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม[7]

ดอกกะตังใบ

รูปกะตังใบ

  • ผลกะตังใบ ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ๆ หรือกลมแป้น ด้านบนแบน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มจนถึงสีดำ ผิวผลบางมีเนื้อนุ่ม ภายในผลมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปไข่[1],[3],[5] ออกผลในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม[7]

ผลกะตังใบ

เมล็ดกะตังใบ

สรรพคุณของกะตังใบ

  1. รากมีรสเย็นเมาเบื่อ เป็นยาเย็น ตำรายาไทยจะใช้เป็นยาขับเหงื่อ ระงับความร้อน แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด แก้อาการกระหายน้ำ (ราก)[1],[2],[3],[5],[6]
  2. อินโดนีเซียจะใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นยาพอกศีรษะแก้ไข้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[3]
  3. ชาวม้งจะใช้ลำต้นต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ (ลำต้น)[6]
  4. ใบนำย่างไฟให้เกรียม ใช้เป็นยาพอกศีรษะแก้วิงเวียน มึนงง (ใบ)[3],[4],[5],[6]
  5. ทั้งต้นใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษามะเร็งเต้านม (ทั้งต้น)[5]
  1. น้ำยางจากใบอ่อนใช้กินเป็นยาช่วยย่อย (น้ำยางจากใบอ่อน)[5],[6]
  2. รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง และแก้บิด (ราก)[3],[5],[6] (ตำรายาพื้นบ้านอีสานจะใช้รากผสมกับลำต้นขมิ้นเครือ ลำต้นเมื่อยดูก และรากตากวาง อย่างละเท่ากัน ต้มกับน้ำเดือดใช้ดื่มแก้ท้องเสีย) ส่วนชาวม้งจะใช้ส่วนของลำต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วงและรักษาโรคนิ่ว (ลำต้น)[6]
  3. รากและลำต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปัสสาวะขัดและรักษาโรคนิ่ว (รากและลำต้น)[6]
  4. รากใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น นำมาต้มกับน้ำกินวันละ 3 ครั้ง จนยาหมดรสฝาด จะมีสรรพคุณเป็นยาแก้ตกขาวของสตรี มะเร็งมดลูก มะเร็งลำไส้ (ราก)[5]
  5. ใช้ต้มกินเป็นยาแก้ครั่นเนื้อครั่นตัว (ราก)[1],[2],[3],[5]
  6. ใบใช้ตำพอกเป็นยาแก้อาการคันหรือผื่นคันตามผิวหนัง (ใบ)[3],[6]
  7. หมอยาพื้นบ้านในจังหวัดอุบลราชธานีจะนำรากมาฝนกับเหล้าใช้ทารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก (ราก)[5]
  8. รากใช้ต้มกินเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย (ราก)[1],[2],[3],[5],[6] หรือจะใช้ใบนำมาตำพอกแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อก็ได้ (ใบ)[4],[5]
  9. ใบใช้ต้มอาบช่วยบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์ (ใบ)[6]

ประโยชน์ของกะตังใบ

  • ผลสุกใช้รับประทานได้[5],[6] และใช้เป็นเหยื่อสำหรับตกปลา[6]
  • ชาวกะเหรี่ยงแดงจะใช้ใบนำมาต้มให้หมูกิน[6]
  • ใบอ่อน ยอดอ่อน ใช้รับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก หรือนำมาลวกหรือต้มรับประทาน โดยจะมีรสฝาดมัน[7]
  • นอกจากนี้ยังมีการใช้รากของต้นกะตังใบ นำมาตำใส่แผลที่มีหนองของวัว ควาย และช้างอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  “กะตังใบ (Katang Bai)”.  หน้า 41.
  2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ).  “กะตังใบ”.  หน้า 69.
  3. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “กะตังใบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/.  [21 มิ.ย. 2015].
  4. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “กะตังใบ”.  อ้างอิงใน : สยามไภษัชยพฤกษ์ (146).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org.  [21 มิ.ย. 2015].
  5. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “กระตังใบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com.  [21 มิ.ย. 2015].
  6. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน).  “กะตังใบ”.  อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 6 (ก่องกานดา ชยามฤต).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th.  [21 มิ.ย. 2015].
  7. พืชกินได้ในป่าสะแกราช, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.).  “กะตังใบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.tistr.or.th.  [21 มิ.ย. 2015].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by worachak chimpan, Ahmad Fuad Morad, Zakaria Al Anshori)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด