เปราะป่า สรรพคุณและประโยชน์ของต้นเปราะป่า 21 ข้อ !

เปราะป่า

เปราะป่า ชื่อสามัญ Peacock ginger, Resurrection lily

เปราะป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia marginata Carey ex Roscoe จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)[1]

สมุนไพรเปราะป่า มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ตูบหมูบ ว่านตูบหมูบ (อุบลราชธานี, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), เปราะเถื่อน (ปราจีนบุรี, ชุมพร), เปราะ หัวหญิง (กระบี่), เปราะเขา เปราะป่า เป็นต้น[1],[2],[5]

ลักษณะของเปราะป่า

  • ต้นเปราะป่า จัดเป็นพืชลงหัวขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 3-5 เซนติเมตร มีเหง้าสั้น และรากเป็นกระจุก หัวเปราะป่า หรือเหง้าสั้น และมีขนาดเล็ก ลักษณะของเหง้าเป็นรูปทรงกลม สีน้ำตาล ที่ผิวมีรอยข้อปล้องอย่างชัดเจน ออกรากจากเหง้าหลักเป็นเส้นกลมยาว เหง้ามีกลิ่นหอม รสร้อนเผ็ดและขมจัด สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ต้นเปราะป่ามักขึ้นตามพื้นดินหรือเกาะอยู่ตามโขดหิน โดยเกิดตามที่ลุ่มชื้นแฉะในป่าเบญจพรรณทั่ว ๆ ไป[1],[2]

ต้นเปราะป่า

หัวเปราะป่า

  • ใบเปราะป่า มีใบเป็นใบเดี่ยว ใบอ่อนจะม้วนเป็นกระบอกตั้งขึ้น เมื่อแก่จะแผ่ราบบนหน้าดิน ใบไม่มีก้านใบ ในหนึ่งต้นจะมีใบเพียง 2 ใบ ใบมีสีเขียวเข้ม ขอบใบมีสีม่วงแดง ลักษณะของเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่ม หลังใบเรียบ ด้านล่างมีขน มีขนาดความกว้างประมาณ 8-14 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-11.5 เซนติเมตร มีกาบใบยาวประมาณ 5 เซนติเมตร กาบใบที่ไม่มีใบจะยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีลิ้นใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร[1]

ใบเปราะป่า

ใบอ่อนเปราะป่า

  • ดอกเปราะป่า ช่อดอกแทงออกมาจากตรงกลางระหว่างกาบใบทั้งสอง มีกลีบดอกเป็นหลอดยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นกลีบรูปแถบ กลีบหลังยาว และมีขนาดกว้างกว่ากลีบข้าง โดยกลีบหลังจะมีความยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ส่วนกลีบข้างจะกว้างประมาณ 0.3 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.4 เซนติเมตร ดอกเปราะป่ามีสีขาว กลีบดอกมีลักษณะบอบบาง มีดอกย่อยประมาณ 6-8 ดอก มีใบประดับสีขาวอมเขียว ลักษณะเป็นรูปใบหอก กว้างประมาณ 1 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3.2 เซนติเมตร โดยเกสรตัวผู้ที่เป็นหมันจะมีสีขาว ลักษณะเป็นรูปไข่กลับแกมรูปลิ่ม มีความกว้างประมาณ 1 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ที่กลีบปากมีสีม่วง มีแถบสีขาวอยู่ระหว่างเส้นกลางกลีบกับขอบกลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กลีบแกมรูปลิ่ม กว้างประมาณ 1.8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.2 เซนติเมตร มีปลายหยักและลึกมาก เกสตัวผู้นั้นเกือบไม่มีก้านหรืออาจมีก้านยาวเพียง 1 มิลลิเมตร ส่วนอับเรณูจะยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร มีรังไข่ขนาดกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร มีกลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นหลอดยาว ยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตรและส่วนปลายแยกเป็น 2 แฉก[1]

ดอกเปราะป่า

  • ผลเปราะเป่า ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ มีสีขาว แตกเป็น 3 พู ภายในผลมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปไข่ มีสีน้ำตาล[1]

สรรพคุณของเปราะป่า

  1. หัวหรือเหง้าใต้ดินใช้ผสมกับตัวยาอื่นเพื่อเข้าตำรับยา ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ (หัว)[1],[2]
  2. ใช้เป็นยาแก้ไข้ (หัว)[1],[2]
  3. ช่วยแก้หวัด โดยใช้หัวตำผสมกับหัวหอม ใช้สุมกระหม่อมเด็กจะช่วยบรรเทาอาการได้ (หัว)[1],[2],[6]
  4. ช่วยแก้อาการไอ (หัว)[5]
  5. ช่วยแก้กำเดา โดยใช้หัวตำผสมกับหัวหอม ใช้สุมกระหม่อมเด็ก (หัว)[1],[2]
  1. ดอกเปราะป่าช่วยแก้อาการอักเสบตาแฉะ (ดอก)[5]
  2. ใช้รักษาเด็กที่ชอบนอนผวาตาเหลือกช้อนดูหลังคา (ดอก)[6]
  3. น้ำคั้นจากใบและเหง้านำมาใช้ป้ายคอ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ (หัว, ใบ)[3]
  4. หัวมีสรรพคุณเป็นยาแก้เสมหะ (หัว)[5]
  5. ช่วยขับลมในลำไส้ (หัว)[1],[2],[6]
  6. ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ (ต้น)[5]
  7. ใช้เป็นยาขับโลหิตที่เน่าเสียของสตรี (ต้น)[6]
  8. ใช้เป็นยากระทุ้งพิษต่าง ๆ (หัว)[4]
  9. ช่วยแก้ลมพิษ ผดผื่นคัน (หัว)[5] ช่วยรักษาเลือดที่เจือด้วยลมพิษ (หัว)[6]
  10. ใบเปราะป่าช่วยแก้เกลื้อนช้าง (ใบ)[5]
  11. หัวหรือเหง้าใต้ดินนำมาตำพอกแก้อาการอักเสบอันเนื่องมาจากการถูกแมลงสัตว์กัดต่อย (หัว)[1],[2]
  12. หัวมีกลิ่นหอม ให้รสร้อนและขมจัด ใช้สำหรับทำเป็นลูกประคบ เพื่อช่วยแก้อาการฟกช้ำได้ (หัว)[1],[2]
  13. หัวใช้ผสมกับใบหนาดใหญ่ ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อัมพาต (หัว)[1],[2]

ประโยชน์ของเปราะป่า

  • ประโยชน์เปราะป่า เปราะป่าสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องเทศและเป็นเครื่องยาสมุนไพร[3]
  • ใบอ่อนสดที่ม้วนอยู่ใช้รับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้[3],[5] หรือนำมาใช้ทำเป็นผักเครื่องเคียงกับขนมจีนหรือข้าวยำ ให้รสชาติร้อนซ่าเล็กน้อย[6]
  • ปัจจุบันพบว่ามีการนิยมปลูกทั่วไปตามบริเวณบ้าน โดยการนำมาปลูกในกะละมัง[5],[6]
เอกสารอ้างอิง
  1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “เปราะป่า“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.  [18 พ.ย. 2013].
  2. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “เปราะป่า“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com.  [18 พ.ย. 2013].
  3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน).  “Kaempferia marginata Carey“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th.  [18 พ.ย. 2013].
  4. โปงลางดอตคอม.  “ว่านเปราะป่า“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.pongrang.com.  [18 พ.ย. 2013].
  5. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร.  “ผักพื้นบ้าน เปราะป่า“.  อ้างอิงใน: หนังสือผักพื้นบ้านภาคใต้ (สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/.  [18 พ.ย. 2013].
  6. บล็อกโอเคเนชั่น.  “เปราะ ผักพื้นบ้าน เมนูสุขภาพ“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.oknation.net.  [18 พ.ย. 2013].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด