เกลือแร่
เกลือแร่ หรือ แร่ธาตุ (Minerals) คือ แร่หรือสารประกอบอนินทรีย์ที่เป็นองค์ประกอบของอาหารส่วนที่เหลือเป็นเถ้าหลังจากการเผาไหม้สารอินทรีย์ทั้งหมดในเนื้อเยื่อพืชและสัตว์ และเป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ร่างกายต้องการในปริมาณไม่มาก แต่ก็ขาดไม่ได้ โดยเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในด้านการช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและควบคุมการทำงานของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อในทุก ๆ อวัยวะ ช่วยควบคุมการทำงานฮอร์โมน และรักษาสมดุลของกระบวนการออสโมซิส และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย เป็นองค์ประกอบของเซลล์ เนื้อเยื่อและเส้นประสาท รวมไปถึงเอนไซม์ ฮอร์โมน และวิตามิน โดยร่างกายของเราจะมีเกลือแร่อยู่ประมาณ 4% ของน้ำหนักตัว
ชนิดของเกลือแร่
แร่ธาตุหรือเกลือแร่ที่พบได้ในอาหารจะมีอยู่ด้วยกันประมาณ 60 ชนิด และที่จำเป็นต่อร่างกายมีประมาณ 17 ชนิด มีอยู่ในร่างกายและในอาหารที่เรารับประทาน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่
- แร่ธาตุหลัก (Macro minerals) หรือเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นเกลือแร่ที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าร้อยละ 0.01 ของน้ำหนักตัว หรือมีมากกว่า 5 กรัม และร่างกายของเราจะต้องการเกลือแร่เหล่านี้จากอาหารต่อวันตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมขึ้นไป เกลือแร่ในกลุ่มนี้ เช่น แคลเซียม (Calcium), ฟอสฟอรัส (Phosphorous), แมกนีเซียม (Magnesium), โพแทสเซียม (Potassium), โซเดียม (Sodium), คลอไรด์ (Chloride), และกำมะถันหรือซัลเฟอร์ (Sulfur)
- แร่ธาตุรอง (Trace minerals) หรือเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นเกลือแร่ที่มีอยู่ในร่างกายเพียงเล็กน้อย หรือน้อยกว่า 5 กรัม และร่างกายของเราต้องการเกลือแร่เหล่านี้จากอาหารต่อวันน้อยกว่า 100 มิลลิกรัม โดยเกลือแร่ในกลุ่มนี้ได้แก่ ธาตุเหล็ก (Iron), ซีลีเนียม (Selenium), โคบอลต์ (Cobalt), โครเมียม (Chromium), ทองแดง (Copper), แมงกานีส (Manganese), โมลิบดีนัม (Molybdenum), ฟลูออไรด์ (Fluoride), วาเนเดียม (Vanadium), สังกะสี (Zinc), และไอโอดีน (Iodine)
ประโยชน์ของเกลือแร่
- ช่วยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท และช่วยในการแข็งตัวของเลือด
- เกลือแร่มีความเกี่ยวข้องและเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน (แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และฟลูออรีน)
- ช่วยควบคุมการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อต่าง ๆ (แคลเซียม)
- ช่วยควบคุมความสมดุลของของเหลวชนิดเกลือแร่ (Electrolyte) ในร่างกาย เช่น โพแทสเซียม (Potassium), โซเดียม (Sodium) เป็นต้น
- เกลือแร่บางชนิดมีบทบาทเกี่ยวกับการรับส่งความรู้สึกของเส้นใยประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปสู่อีกเซลล์หนึ่ง (โพแทสเซียม โซเดียม)
- ช่วยรักษาความสมดุลของกรดและด่างภายในร่างกาย เนื่องจากเกลือแร่ที่ร่างกายได้รับมาจากการรับประทานอาหารจะมีทั้งเกลือแร่ชนิดที่ทำให้เกิดกรดและเบส ซึ่งกลไกของร่างกายจะทำหน้าที่ปรับภาวะเพื่อรักษาความสมดุลความเป็นกลาง เพื่อช่วยให้เซลล์มีชีวิตอยู่ได้ (โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม และฟอสฟอรัส)
- ช่วยควบคุมสมดุบของน้ำในร่างกาย เพราะการเคลื่อนย้ายของเหลวจากส่วนใดส่วนหนึ่งไปยังอีกส่วนในร่างกายนั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของเกลือแร่ในบริเวณนั้น ๆ ด้วย ซึ่งในร่างกายจะมีน้ำอยู่ประมาณร้อยละ 60
- เกลือแร่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมี เช่น ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ช่วยส่งเสริมการดูดซึมอาหารและวิตามิน ช่วยเป็นตัวเร่งในกระบวนการะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ให้เป็นก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ น้ำ และพลังงาน เป็นต้น (สังกะสี ทองแดง โครเมียม)
- เกลือแร่เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น ไอโอดีนในฮอร์โมนส์-ไทรอกซิน เอนไซม์ โคเอนไซม์ เป็นต้น และยังเป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของสารประกอบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น กรดอะมิโน และฟอสโฟลิปิด ได้แก่ กำมะถันและฟอสฟอรัส หรือเป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของฮีม คือ ธาตุเหล็ก เป็นต้น
- ประโยชน์ของเกลือแร่ในด้านการถนอมอาหาร เกลือแร่ที่ใช้เพื่อการถนอมอาหารจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ช่วยป้องกันการเน่าเสียของอาหาร (เช่น เกลือแกง ไนไตรต์ ซัลไฟต์) และกลุ่มที่ช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีของอาหาร
- ในด้านกลิ่น รส สี และการชูรส เกลือแร่ทำหน้าที่ให้กลิ่นรสมีอยู่หลายชนิด มีทั้งจากธรรมชาติและสารสังเคราะห์ เช่น โซเดียมคลอไรด์ มีรสเค็มและใช้เป็นส่วนผสมในขนมปัง สำหรับเกลือแร่ที่ทำหน้าที่ชูรสชาติอาหารก็มอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) และในเรื่องของสี อาหารจำพวกเนื้อสัตว์จะมีปัญหามีสีคล้ำเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนเป็นเวลานาน ทำให้ดูเหมือนขาดความสด การปรับพีเอชของสัตว์ให้อยู่ในเกณฑ์ 6-6.6 จะช่วยรักษาสีของเนื้อสัตว์ไว้ได้นาน โดยเกลือที่นิยมนำมาใช้กันก็คือ โซเดียมโพลีฟอสเฟต
- มีการใช้เกลือซัลไฟต์และกรดซัลฟูรัส เพื่อช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เพื่อช่วยรักษากลิ่นรส สี และวิตามินซีในน้ำผลไม้
- ประโยชน์ในด้านการฟอกสีแป้ง แป้งสาลีที่ผ่านการขัดสีใหม่ ๆ จะมีสีเหลืองอ่อน เมื่อนำมาทำขนมปัง แป้งที่นวดได้จะเหนียว เมื่อนำไปอบจะทำให้ขนมปังมีคุณภาพไม่ดี แต่เมื่อเก็บแป้งไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะค่อย ๆ ขาวขึ้น และเกิดกระบวนการปรับปรุงคุณภาพแป้งโดยธรรมชาติ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้สิ้นเปลืองเวลา ในทางปฏิบัติจึงได้มีการนำสารเคมี เช่น คลอรีน คลอรีนไดออกไซด์ มาเร่งกระบวนการเหล่านี้ให้เร็วขึ้น เพื่อใช้ในการฟอกสีและปรับปรุงคุณภาพแป้ง
- ประโยชน์ในด้านการปรับปรุงเนื้อสัมผัส เกลือแร่ทำหน้าที่ปรับปรุงลักษณะเนื้อสัมผัสของอาหารจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับสารเจือปนอื่น โดยได้นำไปใช้กับเนื้อสัตว์ แป้ง ผักและผลไม้ โดยเกลือแร่ที่กับเนื้อสัตว์จะประกอบไปด้วย เตตระโซเดียมไพโรฟอสเฟต ไดโซเดียมออร์โทฟอสเฟต โซเดียมไตรโพลีฟอสเฟต โซเดียมแอซิดไพโรฟอสเฟต และโซเดียมเฮกซาเมตาฟอสเฟต ซึ่งการใส่เกลือแร่เหล่านี้ลงไปจะช่วยทำให้เนื้อสัตว์มีความนุ่มมากยิ่งขึ้น หรือถ้าการใส่เกลือแร่บางชนิดลงในผักและผลไม้ก็จะทำให้เนื้อผักหรือผลไม้แข็งมากขึ้น แม้จะได้รับความร้อนก็ไม่อ่อนนุ่ม (มักพบได้มากในผลไม้แช่อิ่ม มะม่วงดอง มะเขือเทศกระป๋อง เป็นต้น และยังมีการใช้เกลือแคลเซียมเพื่อเพิ่มความแข็งกรอบให้กับผักและผลไม้อีกด้วย จึงช่วยทำให้โครงสร้างของเซลล์คงรูปอยู่ได้)
- ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของอาหารที่มีน้ำมันและไขมัน เป็นสาเหตุการเหม็นหืน ในกระบวนการทำน้ำมันและไขมันจึงต้องมีขั้นตอนการฟอกสีและกำจัดโลหะหนักที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชั่น นอกจากนี้ยังต้องทำการแยกกรดไขมันอิสระออก และมีการใช้สารคีเลต ซึ่งสารพวกนี้จะไปรวมตัวกับโลหะได้เป็นสารประกอบเชิงซ้อน จึงเป็นการลดสารเร่งปฏิกิริยาให้น้อยลง หรือทำให้ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นเกิดช้าลง และวิธีเดียวกันนี้ยังมีการนำไปใช้เพื่อป้องกันการเปลี่ยนสีของเนื้อปูได้อีกด้วย โดยใช้สารคีเลต อีดีทีเอ
- เกลือบางชนิดนอกจากจะทำให้อาหารมีรสกลมกล่อมขึ้นแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นสารโปร่งฟูอีกด้วย โดยเกลือที่นิยมนำมาใช้กันมากได้แก่ แคลเซียมอะซิเตต โซเดียมอะซิเตต โพแทสเซียมซีเตรต ฯลฯ เป็นต้น
ปริมาณของเกลือแร่ที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน
- โพแทสเซียม 3,500 มิลลิกรัม (พบได้ในผักและผลไม้)
- คลอไรด์ 3,400 มิลลิกรัม (พบได้ในอาหารธรรมชาติเกือบทุกชนิด และพบได้มากที่สุดในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และในอาหารที่ปรุงด้วยเกลือ)
- โซเดียม 2,400 มิลลิกรัม (พบได้มากในนมโค)
- แคลเซียม 800 มิลลิกรัม (พบได้ในอาหารจำพวกธัญชาติและนม)
- ฟอสฟอรัส 800 มิลลิกรัม (พบได้มากในนมโค ธัญชาติ เนื้อสัตว์ และไข่)
- แมกนีเซียม 350 มิลลิกรัม (พบได้ในในผักใบเขียว)
- ธาตุเหล็ก 15 มิลลิกรัม (พบได้มากในตับ ไต หอย ไข่แดง โกโก้ ผักสีเขียว ผลไม้เปลือกแข็ง แป้งจากธัญพืชทั้งเมล็ด ส่วนนมพบว่ามีธาตุเหล็กน้อย)
- สังกะสี 15 มิลลิกรัม (พบได้มากในหอยนางรม นม รำข้าว จมูกข้าวสาลี และพบได้บ้างในผัก ขนมปัง เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ธัญพืช และผลไม้เปลือกแข็ง)
- แมงกานีส 3.5 มิลลิกรัม (พบได้มากในผลไม้เปลือกแข็ง นม ไข่ และธัญพืช ส่วนเนื้อสัตว์ปีก นม และอาหารทะเลจะมีแมงกานีสน้อย)
- ฟลูออไรด์ 2 มิลลิกรัม (พบได้น้ำ ในอาหารทะเล และเนื้อสัตว์)
- ทองแดง 2 มิลลิกรัม (พบได้มากใน หอยนางรม สมองสัตว์ ตับ ไต โกโก้ ผลไม้เปลือกแข็ง ลูกท้อ องุ่น)
- โมลิบดีนัม 10 ไมโครกรัม (พบได้ในตับ ไต ธัญพืช พืชน้ำมัน และผักกินใบ)
- ไอโอดีน 150 ไมโครกรัม (พบได้ในอาหารทะเลและน้ำดื่ม)
- โครเมียม 130 ไมโครกรัม
- ซีลีเนียม 70 ไมโครกรัม (พบได้มากในยีสต์ ขนมปัง ผักและผลไม้แทบทุกชนิด)
- โคบอลต์ พบได้มากในผักกินใบ เนื้อสัตว์ โดยเฉพาะตรงส่วนของตับและไต ส่วนนมโค แป้ง และธัญพืชจะมีโคบอลต์น้อย
หมายเหตุ : ปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (Thai Recommended Daily Intakes – Thai RDI) สำหรับผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป โดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่
ข้อควรรู้เกี่ยวกับแร่ธาตุ
- แร่ธาตุสามารถสูญเสียออกจากอาหารได้ในระหว่างการแยกส่วนหรือการล้าง เช่น การขัดสีของเมล็ดข้าวหรือการขัดเอารำออกจากธัญพืชต่าง ๆ (เช่นข้าวกล้องที่ยังไม่ผ่านกระบวนการขัดสีจะมีแคลเซียม 12 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 10 มิลลิกรัม แต่ในขณะที่ข้าวขาวจะมีแคลเซียมเพียง 8 มิลลิกรัม และมีธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม)
เอกสารอ้างอิง
- มหาวิทยาลัยแม้โจ้. “เกลือแร่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: coursewares.mju.ac.th. [25 มิ.ย. 2014].
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)