10 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว ! แผลเป็นจากสิวรักษายังไง ??

แผลเป็นจากสิว

ใครว่าสิวเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ สำหรับคนรักสวยรักงาม ขอบอกเลยว่าไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ แน่นอน เพราะถ้าหากดูแลรักษาสิวได้ไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิวอักเสบ ก็อาจจะเกิดเป็นรอยลึกของแผลเป็นจากสิวฝากเอาไว้บนใบหน้าให้ช้ำใจได้

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้ากันก่อนว่ารอยแผลเป็นจากสิวนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นก็คือ เกิดจากการอักเสบของสิว โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใครชอบไปแกะ ไปเกา หรือบีบสิวก็ยิ่งจะทิ้งรอยเอาไว้ ซึ่งจะมีอยู่ 3 แบบ คือ แบบหลุมสิว ซึ่งเกิดได้จากการทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้จนทำให้เกิดรอยบุ๋ม แบบเป็นเนื้อนูน ที่เกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อในชั้นหนังแท้ แต่มีการซ่อมแซมของผิวมากกว่าปกติจนทำให้เกิดเป็นเนื้อนูนขึ้น และแบบรอยแดงหรือการเปลี่ยนแปลงของสี

ซึ่งตามธรรมชาติแล้วเมื่อร่างกายได้รับการบาดเจ็บอันตราย ก็จะนำไปสู่การซ่อมแซมของผิวหนัง การซ่อมแซมนั้นจะเริ่มตั้งแต่การห้ามเลือดจากบาดแผลไปจนถึงการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่แข็งแรงใต้ผิว และกลายเป็นแผลเป็นที่สมบูรณ์ ซึ่งกินเวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ปี บางรายก็เป็นแผลเป็นนูน ส่วนบางรายก็เป็นแผลเป็นที่ลึกลงไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญในการหายของบาดแผลว่าสมบูรณ์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความลึกของบาดแผล ตำแหน่งที่เกิดบาดแผล สาเหตุการเกิดบาดแผล ปัจจัยจากการเย็บแผล การดูแลรักษาแผล เป็นต้น ส่วนวิธีที่ใช้ในการรักษาและผลของการรักษาก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลเป็นหลัก

ชนิดของรอยแผลเป็นจากสิว

แบบหลุมสิว

รอยหลุมสิว

แบบเป็นเนื้อนูน

แผลเป็นนูนจากสิว

แบบรอยแดงหรือการเปลี่ยนแปลงของสี

แบบรอยแดงสิว

วิธีรักษาแผลเป็นจากสิว

  1. ป้องกันไม่ให้เกิดสิว เมื่อเป็นสิวอักเสบ คุณควรรีบรักษาให้หายโดยเร็วที่สุด ในระหว่างที่เป็นสิวไม่ควรแกะหรือบีบสิวโดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบมากขึ้น หายช้าลง และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลังจากสิวหายได้ และไม่ควรล้างหน้า เช็ดหน้า ขัดถูหน้า หรือรบกวนใบหน้ามากจนเกินไป หันมาเลือกใช้สบู่อ่อน ๆ งดเว้นการใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่เหนียวเหนอะหนะ เพราะจะมีโอกาสกระตุ้นการเกิดสิวได้ ฯลฯ
  1. การใช้ยาทาในรูปแบบต่าง ๆ ยารักษาแผลเป็นจากสิวไม่ว่าจะเป็นการแต้มกรด TCA, การใช้กรดวิตามินหรือยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ อย่าง Retin A เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และการลอกผิวด้วยกรดผลไม้อย่าง AHA, BHA, PHA เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออกและเกิดการซ่อมแซม ก็ช่วยทำให้หลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิวดูดีขึ้นได้
  2. ครีมลดรอยแผลเป็นจากสิว ที่มีขายทั่วไป ซึ่งมีส่วนผสมของวิตามินอี วิตามินซี อาร์บูติน กรดโคจิก ฯลฯ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ถ้าหากไม่ดีขึ้นคงต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงแล้วล่ะ อย่างยี่ห้อที่นิยมใช้กันแล้วได้ผลดีก็มียี่ห้อ MEDERMA (เมเดอร์มา) ที่ช่วยลดรอยดำจากสิวได้ดี ทาแล้วหน้าไม่มันมาก หลอด 10 กรัม ราคาประมาณ 330 บาท, Hiruscar (ฮีรูสการ์) เป็นเนื้อเจลซึมเร็ว อ่อนโยนต่อผิวเพราะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หลอด 10 กรัม ราคาประมาณ 350 บาท, Scagel (สกาเจล) เนื้อเจลใส ไร้กลิ่น เกลี่ยง่าย ซึมไว เป็นครีมลบรอยดำจากสิวที่ได้รับความนิยมมากอีกตัวหนึ่ง ฯลฯ
    MEDERMAHiruscarScagel
  3. การทำไอออนโต (Iontophoresis) เป็นการอาศัยหลักการผลักยาเข้าสู่ผิวชั้นในด้วยกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้น แผลเป็นดูดีขึ้น
  4. การฉีดยาสเตียรอยด์ เป็นการรักษาแผลเป็นนูนด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์และยาต้านการเจริญของพังผืด โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปใต้ตำแหน่งของแผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นแบนราบลงได้ แต่อาจจะต้องทำหลายครั้ง เมื่อแผลเป็นยุบแล้ว ก็อาจต้องทำเลเซอร์ซ้ำอีกเพื่อให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น
  5. การฉีดฟิลเลอร์ สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นร่องลึกจนกลายเป็นหลุมสิว คุณสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มชั้นผิวหนังให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม ซึ่งสารที่นิยมนำมาใช้ฉีดมักจะเป็นคอลลาเจนและไฮยารูรอนิก เอซิด (Hyaluronic Acid) แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทันตา แต่ก็ยังไม่ใช่วิธีการรักษาที่ได้ผลถาวร เพราะเมื่อฟิลเลอร์ที่ฉีดสลายไป รอยหลุมสิวก็จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จึงต้องทำการฉีดซ้ำเรื่อย ๆ ทุก ๆ ประมาณ 6-12 เดือน
  6. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion – MD) โดยใช้ผลึกอัญมณีขนาดเล็กเข้าไปช่วยขัดเกลาผิวชั้นนอกสุดให้หลุดออก เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้นและแผลเป็นก็ดูดีขึ้น
    กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี
  7. การทำไอพีแอล (Intense Pulsed Light – IPL) เป็นการใช้อานุภาพของแสงความเข้มสูงที่สามารถทะลุทะลวงผ่านขอบเขตของชั้นหนังกำพร้า เข้าไปจนถึงชั้นหนังแท้ โดยไม่เป็นอันตรายกับผิว เพื่อเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวตึงขึ้น แผลเป็นดูดีขึ้น แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 2 สัปดาห์ และต้องทำขั้นต่ำประมาณ 3-4 ครั้ง จึงจะเห็นผล
  8. การใช้เลเซอร์ เป็นอีกวิธีที่ช่วยกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวอย่างทันใจ ซึ่งเลเซอร์ที่ว่าอาจเป็นเลเซอร์กำจัดรอยสิวธรรมดา ๆ ที่ช่วยผลัดเซลล์บริเวณที่เป็นรอยอย่างล้ำลึกและหมดจดมากขึ้น หรืออาจเลือกทำด้วยเครื่อง Fractional Laser หรือ Fraxel® Laser ซึ่งเป็นวิธีการรักษารอยดำจากสิวรวมทั้งรอยแผลเป็นได้ สามารถแก้ปัญหารอยหลุมสิวได้อยู่หมัด แต่การทำเลเซอร์อาจมีข้อจำกัดบางประการและต้องทำซ้ำหลายครั้งจึงจะเห็นผลที่ชัดเจน ซึ่งก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์ผิวหนังครับ
    เลเซอร์-fraxel
  9. การผ่าตัดรอยแผลเป็นจากสิว ในกรณีที่แผลเป็นจากสิวเป็นหลุมลึกและมีขนาดใหญ่ คุณอาจต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเอารอยแผลนั้นออกไปจากใบหน้า แต่คุณต้องคำนึงถึงโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของแผลนูน เนื่องจากจะเป็นการทำให้เกิดแผลเย็บใหม่ ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แถมราคาก็แพงไม่เบาเลยล่ะ จึงขอแนะนำให้ใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่ถ้าหากต้องการกำจัดรอยสิวมาก ๆ และแพทย์ผิวหนังก็เห็นด้วยกับการผ่าตัด กรณีนี้คงไม่น่ากังวลสักเท่าไร
    ศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว

แม้ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีในการรักษาใหม่ ๆ ที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยลงและให้ผลการรักษาที่ดีขึ้น แต่ผลของการรักษาก็ยังมีข้อจำกัด จึงทำให้การรักษาแผลเป็นอาจต้องใช้การรักษาหลาย ๆ วิธีร่วมกัน และแผลเป็นที่มีความลึกหรือแผลที่มีการทำลายของรูขุมขนจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ 100% ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการเลือกวิธีการรักษา

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด