ขันทองพยาบาท สรรพคุณและประโยชน์ของต้นขันทองพยาบาท 25 ข้อ !

ขันทองพยาบาท

ขันทองพยาบาท ชื่อวิทยาศาสตร์ Suregada multiflora (A.Juss.) Baill. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Gelonium multiflorum A.Juss.[1]) จัดอยูในวงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE)[1],[5]

สมุนไพรขันทองพยาบาท มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ยางปลวก[2] ยางปลอก[1] ยายปลวก[5] ฮ่อสะพานควาย (แพร่, น่าน), ทุเรียนป่า ไฟ (ลำปาง), ขุนตาก[1] ข้าวตาก[2] (กาญจนบุรี), ขันทองพยาบาทเครือ ขัณฑสกร ช้องลำพัน สลอดน้ำ (จันทบุรี), มะดูกดง (ปราจีนบุรี), ขันทอง (พิษณุโลก), ดีหมี (พิษณุโลก, อุตรดิตถ์), ขันทองพยาบาท ดูดหิน (สระบุรี), ดูกใส ดูกไทร ดูกไม้ เหมือนโลด (เลย), ดูกไหล (นครราชสีมา), ขนุนดง[1] ขุนดง[2] (หล่มสัก-เพชรบูรณ์), ข้าวตาก ขุนทอง คุณทอง (ประจวบคีรีขันธ์), ขอบนางนั่ง (ตรัง), มะดูกเหลื่อม[2] (ภาคเหนือ), มะดูกเลื่อม[1] (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), ขันทองพยาบาท มะดูก หมากดูก (ภาคกลาง), กะดูก[1] กระดูก[2] (ภาคใต้), หมากดูด (ไทย), เจิง[1] โจ่ง[3] (ส่วย-สุรินทร์), มะดูกเลี่ยม, เหมือดโรค, ป่าช้าหมอง, ยายปลูก เป็นต้น[1],[2],[4],[9]

ลักษณะของขันทองพยาบาท

  • ต้นขันทองพยาบาท มีเขตการกระจายพันธุ์ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแถบประเทศอินเดีย พม่า ไทย อินโดจีน และในคาบสมุทรมลายู[8] จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 7-13 เมตร ลำต้นตั้งตรง เป็นทรงพุ่มแน่นทึบ แตกกิ่งก้านค่อนข้างกลม กิ่งก้านอ่อนและห้อยลู่ลง ที่กิ่งจะมีขนรูปดาว เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลแก่และแตกเป็นร่องแบบตื้น ๆ ตามยาว เนื้อไม้เป็นสีขาว ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด มักขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป ตามป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตร[1],[2],[5],[8]

รูปต้นขันทองพยาบาท

ต้นขันทองพยาบาท

  • ใบขันทองพยาบาท ใบหนาแข็งและดกทึบ โดยใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ลักษณะของใบเป็นรูปหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบแหลม ส่วนขอบใบจักเป็นซี่ฟัน ใบมีความกว้างประมาณ 3-8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-22 เซนติเมตร เนื้อใบมีลักษณะหนาเหนียวคล้ายแผ่นหนัง หลังใบเรียบลื่นเป็นมัน ส่วนท้องใบเรียบและมีสีอ่อนกว่า ผิวใบด้านล่างมีต่อมสีเหลืองและมีขนเป็นรูปดาว มีเส้นใบข้าง 5-9 คู่ มีก้านใบยาวประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ส่วนหูใบมีขนาดเล็กประมาณ 2 มิลลิเมตร แต่ละคู่เชื่อมกัน หลุดร่วงได้ง่าย และจะทิ้งแผลเป็นวงไว้[1],[2],[5]

ใบขันทองพยาบาท

  • ดอกขันทองพยาบาท ดอกมีกลิ่นหอมสีเขียวอมสีเหลืองอ่อน ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ ตามซอกใบ ขนาดประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร ในช่อดอกจะมีดอกอยู่ประมาณ 5-10 ดอก อยู่ตรงข้ามกับใบ ดอกมีใบประดับลักษณะเป็นรูปหอกปลายแหลมยาวประมาณ 1 มิลลิเมตรและกว้างประมาณ 0.7-0.8 มิลลิเมตร ส่วนดอกจะเป็นแบบแยกเพศแยกต้นและไม่มีกลีบดอก โดยดอกเพศผู้จะมีขนาดประมาณ 2.5 มิลลิเมตร และมีเกสรเพศผู้ประมาณ 35-60 ก้าน แต่ละอันจะมีต่อมอยู่ที่ฐาน ฐานรองดอกนูนพองออก และอาจพบเกสรเพศผู้ที่เป็นหมันปะปนอยู่ด้วย ส่วนดอกเพศเมียจะมีลักษณะเหมือนกับดอกเพศผู้ แต่จะมีรังไข่เหนือวงกลีบ มีขนอยู่หนาแน่น มีรังไข่ 3 ช่อง รังไข่มีขนละเอียดและมีหมอนรองดอก มีก้านเกสรเพศเมีย 3 ก้าน ก้านดอกยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร กลีบรองดอกหนามี 5 กลีบ โคนเชื่อมกันเล็กน้อยและขอบจักเป็นซี่ฟัน โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม[5]

รูปขันทองพยาบาท

ดอกขันทองพยาบาท

รูปดอกขันทองพยาบาท

  • ผลขันทองพยาบาท ผลมีลักษณะเกือบกลม ผิวผลเกลี้ยง มีขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลืองอมส้ม แตกตามพู มีพู 3 พูและมีติ่งเล็ก ๆ อยู่ที่ยอด ภายในผลจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 3 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะค่อนข้างกลม มีขนาดประมาณ 7-8 มิลลิเมตร เมล็ดเป็นสีน้ำตาลเข้มและมีเนื้อบาง ๆ สีขาวหุ้มเมล็ดอยู่ โดยจะติดผลในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน[5]

ผลขันทองพยาบาท

เมล็ดขันทองพยาบาท

สรรพคุณของขันทองพยาบาท

  1. เปลือกต้นมีรสเมาเบื่อ ใช้เป็นยาบำรุงเหงือก ใช้รักษาเหงือกอักเสบ ทำให้ฟันทน เหงือกแข็งแรง (เปลือกต้น)[1],[2],[3],[5]
  2. ตำรายาไทยเนื้อไม้มีรสเฝื่อนเมา ช่วยแก้ไข้ (เนื้อไม้)[4],[5] บ้างว่าใช้รากนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้ไข้ (ราก)[8]
  3. ช่วยแก้ลมและโลหิตเป็นพิษ (เปลือกต้น, เนื้อไม้)[5]
  4. ใช้เป็นยาซาง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[7]
  5. รากมีรสเมาเบื่อร้อน ช่วยแก้ลม (ราก)[5]
  6. ช่วยแก้ปอดพิการ (เปลือกต้น)[5]
  7. เปลือกต้นใช้เป็นยาถ่าย เป็นยาระบาย (เปลือกต้น)[1],[2],[3],[5]
  8. ใช้เป็นยาแก้เส้นท้องตึง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[7]
  9. ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิ (เนื้อไม้[1],[3],[5], เปลือกต้น[4],[5])
  10. ช่วยรักษากามโรค (เนื้อไม้[1],[2],[3],[4],[5], เปลือกต้น[2])
  1. ช่วยรักษาน้ำเหลืองเสีย (เนื้อไม้, ราก)[5]
  2. ช่วยถ่ายน้ำเหลืองเสีย (เปลือกต้น)[5]
  3. ช่วยรักษาโรคตับพิการ (เปลือกต้น)[1],[2],[3],[5]
  4. เนื้อไม้และเปลือกต้นใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนังทุกชนิด ผดผื่นคัน รักษาโรคเรื้อน กลากเกลื้อน รักษามะเร็ง มะเร็งคุดทะราด ด้วยการใช้เปลือกต้นนำมาต้มแล้วพอกหรือตำคั้นเอาแต่น้ำนำมาใช้ทารักษาโรคผิวหนัง (เนื้อไม้, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[5],[8] ส่วนรากก็ช่วยแก้โรคผิวหนังได้เช่นกัน (ราก)[5]
  5. ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[5]
  6. ใช้รักษาประดง (โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการคัน) (เนื้อไม้[1],[2],[3],[5], เปลือกต้น[2],[5], ราก[5])
  7. ช่วยแก้ลมพิษ ลมเป็นพิษ (เนื้อไม้, เปลือกต้น)[1],[2],[3],[4],[5]
  8. ช่วยรักษาอาการพิษในกระดูก (เนื้อไม้[1],[2],[3],[5], เปลือกต้น[2],[5], ราก[5])
  9. ช่วยแก้พิษต่าง ๆ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[5]
  10. ใช้รักษาอาการปวดไขข้อ (เปลือกต้น)[9]
  11. ลำต้นใช้ต้มกับน้ำอาบสำหรับสตรีอยู่ไฟ (ลำต้น)[5]
  12. รากขันทองพยาบาท จัดอยู่ในตำรับยา “พิกัดเนาวโลหะ” ซึ่งในตำรับยาประกอบไปด้วย รากขันทองพยาบาท รากทองกวาว รากทองพันชั่ง รากใบทอง รากจำปาทอง รากทองหลางหนาม รากทองหลางใบมน รากทองโหลง โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ลม แก้ลมที่เป็นพิษ แก้โรคดี แก้เสมหะ ฆ่าพยาธิ สมานลำไส้ ชำระล้างลำไส้ ขับระดูร้าย แก้โรคตับ ถอนพิษ และดับพิษ (ราก)[10]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นขันทองพยาบาท

  • สารสกัดจากเปลือกต้นขันทองพยาบาทด้วยไดคลอโรมีเทน แล้วนำมาแยกสารให้บริสุทธิ์ จะพบสารไดเทอร์ปีน 7 ชนิด คือ abbeokutone, ent-3-oxo-16-kaurene-15β,18-diol, ent-16-kaurene-3β, 15β-diol, ent-kaurene-3β,15β,18-diol, helioscopinolide A, helioscopinolide C และ helioscopinolide I เมื่อนำสารแต่ละชนิดมาทดสอบฤทธิ์แก้แพ้ พบว่าสารทั้งหมดมีฤทธิ์ยับยั้งการปล่อยเอนไซม์ β-Hexosaminidase (เป็นเอนไซม์ที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการแพ้ของเซลล์ RBL-2H3) โดยมีค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) ของสารดังกล่าว ระหว่าง 22.5 – 42.2 ไมโครโมล ซึ่งดีกว่ายา ketotifen fumarate (IC50 = 47.5 ไมโครโมล) แต่จะมีฤทธิ์น้อยกว่า quercetin (IC50 = 4.5 ไมโครโมล) และเมื่อนำสารทั้ง 7 ชนิดมาทดสอบการฤทธิ์การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ β-Hexosaminidase โดยใช้ความเข้มข้นของสารเท่ากับ 100 ไมโครโมล พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งน้อยมาก แสดงให้เห็นได้ว่าสารทั้ง 7 ชนิดออกฤทธิ์แก้แพ้โดยยับยั้งการสลายตัวแกรนูลที่ปลดปล่อยเอนไซม์ β-Hexosaminidase ได้ แต่ไม่ได้ยับยั้งฤทธิ์ของเอนไซม์โดยตรง[11]

ประโยชน์ของขันทองพยาบาท

  • เนื้อไม้มีพิษทำให้เมา ใช้สำหรับเป็นยาเบื่อ[5]
  • เนื้อไม้สามารถนำมาใช้ทำเครื่องมือใช้สอยหรือนำมาใช้ทำเครื่องจักสานได้[9]
  • ต้นขันทองพยาบาทมีลักษณะทรงพุ่มสวยงาม ใบเป็นมัน ผลสุกมีสีสันสะดุดตา และดอกยังให้กลิ่นหอม สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวน หรือใช้ปลูกเป็นฉากหลังแบบกลุ่ม ๆ[6]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  “ขันทองพยาบาท”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 101-102.
  2. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  “ขันทองพยาบาท (Khan Thong Phayabat)”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 61.
  3. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง.  “ขันทองพยาบาท”.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ).  หน้า 77.
  4. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  “ขันทองพยาบาท”.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  หน้า 196.
  5. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “ขันทองพยาบาท”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.  [12 ก.พ. 2014].
  6. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.  “ขันทองพยาบาท”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th.  [12 ก.พ. 2014].
  7. ฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในโรงเรียน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.  “ดูกใส ขันทองพยาบาท”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: copper.msu.ac.th/plant/.  [12 ก.พ. 2014].
  8. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “ขันทองพยาบาท”.  อ้างอิงใน: หนังสือพืชสมุนไพร เล่ม 2 และ 3, หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org.  [12 ก.พ. 2014].
  9. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ, สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้.  “ขันทองพยาบาท”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th.  [12 ก.พ. 2014].
  10. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “กวาวเครือแดง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com.  [12 ก.พ. 2014].
  11. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ฤทธิ์แก้แพ้ของสารสกัดที่ได้จากเปลือกของต้นขันทองพยาบาท”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th.  [12 ก.พ. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Ahmad Fuad Morad), เว็บไซต์ phargarden.com (by Sudarat Homhual)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด